เวลาเราคิดคำนวณการการกู้เงิน หรือ คิดมูลค่าปัจจุบันย้อนกลับไปในอดีต เราไม่สามารถคิดได้แบบตรง ๆ เพราะ มูลค่าของเงินในแต่ละช่วงเวลามีค่าไม่เท่ากัน ดังนั้น เราจึงต้องใช้ตัวช่วยเข้ามาเพื่อให้มูลค่าของเงินเท่ากันในทุกช่วงเวลา นั่นคือ Discount Rate แล้ว Discount Rate คืออะไร
Discount Rate คืออะไร
“อัตราคิดลด (Discount Rate)” คือค่าที่เราใช้ในการปรับเพิ่มหรือลดมูลค่าของเงินเมื่อเงินเดินทางผ่านกาลเวลา แปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือ เงิน 1,000 บาท วันนี้ถ้าให้เราไปรับอีกทีในอีก 1 ปี ข้างหน้าเงินจะต้องไม่ใช่ 1,000 บาท แต่จะต้องมีค่ามากกว่านั้น แล้วจะมีค่าเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า “อัตราคิดลด (Discount Rate)” มีค่าเท่ากับเท่าไหร่
“อัตราคิดลด (Discount Rate)” มีค่าไม่เท่ากันแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการนำไปใช้ทำอะไร โดยทั่วไป “อัตราคิดลด (Discount Rate)” มักจะเป็นตัวแทนของต้นทุนของเงินทุนนั้น ๆ หรือบางทีจะใช้คำว่า “ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportnity Cost)” ของเงินทุนก้อนนั้น ทำให้ “อัตราคิดลด (Discount Rate)” มีวิธีการคำนวณที่หลากหลายขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการนำ
“อัตราคิดลด (Discount Rate)” ไปใช้ทำอะไรมากกว่า
ตัวอย่างการใช้ Discount Rate
ถ้าเราต้องการให้เพื่อนยืมเงิน แล้วเราต้องการคิดว่าถ้าเพื่อนยืมเงินเราวันนี้ 10,000 บาท แล้วอีก 1 ปีจะมาคืน เราจะให้เพื่อนคืนเท่าไหร่หรือง่าย ๆ ก็คือเราจะคิดดอกเบี้ยเพื่อนเท่าไหร่ดี ?
เราอาจจะเปรียบเทียบว่า ถ้าเงิน 10,000 บาท นี้เราไม่ได้ให้เพื่อนคนนี้ยืม แต่เราเอาไปฝากประจำได้สัก 2% อยู่ เราก็อาจจะคิดเพิ่มกับส่วนชดเชยความเสี่ยงที่จะไม่ได้เงินคืนอีกสัก 3% รวมเป็น 5% ก็สามารถทำได้ หรือถ้าเราจะเอาไปคิดมูลค่าปัจจุบันของกิจการนึงเราอาจจะต้องคิดดูว่าเราได้ “ต้นทุนของเงินทุน” ทั้งส่วนของหนี้และส่วนของเจ้าของเป็นเท่าไหร่ จากนั้นก็มาเทียบกับสัดส่วนระหว่างหนี้และทุน หรือทางการเงินจะเรียกว่า Weighted Average Cost of Capital (WACC) เพื่อนำมาใช้คิดเป็น Discount Rate ในบางกรณีก็ใช้ความคาดหวังในการคำนวณ “อัตราคิดลด (Discount Rate)” ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่สูงอัตราคิดลดก็จะยิ่งมีค่าที่สูงตามไปด้วย
Comment