ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มที่อยู่คู่ไทยมานานและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานโดยใช้แรงงานหนัก ๆ แถมยังมีราคาประหยัด เป็นมิตรต่อกระเป๋าตังค์ด้วย ทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกัน คือ เครื่องดื่มชูกำลังนั่นเอง และยี่ห้อที่ติดหูและติดตาก็คงหนีไม่พ้น (1) M-150 ของโอสถสภา ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ OSP (2) คาราบาว ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยชื่อ CBG และ (3) กระทิงแดง ซึ่งวันนี้พี่ทุยจะขอข้ามไป เพราะเค้าไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ก่อนที่เราจะไปพูดคุยเรื่องตัวเลขกำไรของแต่ละบริษัท พี่ทุยขอท้าวความเรื่องความเป็นมาของเครื่องดื่มชูกำลังนิดนึงนะ
เมื่อปี 2520 เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อแรกที่เข้ามาบูมในประเทศไทย มีชื่อว่า “ลิโพวิตัน ดี” ผลิตโดยบริษัทโอสถสภา
มวยยกแรกเริ่มตรงนี้แหละ เพราะเมื่อลิโพวิตันดี ที่ส่งเข้าประกวดโดยโอสถสภาเข้าตลาดก็ทำกำไรได้ปังทีเดียว และแน่นอนว่าเค้กก้อนใหญ่น่ากินเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นที่อยากลิ้มลอง ในปี 2524 “กระทิงแดง” จึงขอเข้ามาร่วมสังเวียน และตัดราคาโดยยอมขายถูกกว่า ลิโพวิตัน ดี หลายบาท และไม่นานนัก ก็ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกำลังไปถึง 50%
ทางโอสถสภาเองก็ไม่ยอมแพ้ และได้ส่ง “M-150” เข้ามาสู้กับกระทิงแดงโดยตรงเลย เพราะกำหนดให้ราคาเท่ากัน และในที่สุดโอสถสภาก็คืนสังเวียน เพราะในวันนี้เขามีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง โดยมี “คาราบาว” ของบริษัทคาราบาว กรุ๊ปตามมาเป็นอันดับ 2
บทความนี้พี่ทุยขอเปิดศึกประชันกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยนะ ว่าระหว่าง M-150 ของ OSP และคาราบาวของคาราบาวกรุ๊ป (CBG) ใครมีแต้มต่อในแต่ละด้านมากกว่ากัน
ยกที่ 1 ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทย
ตามรายงานของ Nielsen ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยมีมูลค่า 20,882 ล้านบาท แบ่งออกเป็น
- M-150 ของโอสถสภา (OSP) ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ 4%
- คาราบาวของ คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ที่2%
ยกนี้ พี่ทุยคงต้องให้โอสถสภาเป็นฝ่ายชนะ แต่อย่าประมาทไปนะจ๊ะ ตลาดนี้มันเถื่อน เราก็ได้เห็นตัวอย่างมาแล้วว่า เมื่อปี 2524 กระทิงแดงยังเป็นอันดับ 1 อยู่เลย แต่ในวันนี้กลับถูกแซง จนกลายเป็นอันดับ 3 แทน เพราะฉะนั้นบัลลังก์นี้ คงไม่ได้มั่นคงนัก เผลอแป็ปเดียวอาจโดนเลื่อยขาเก้าอี้ได้นะ (ฮ่า)
ยกที่ 2 การกระจายความเสี่ยง
ถึงแม้ว่า 2 บริษัทนี้จะเน้นสร้างรายได้หลักจากเครื่องดื่มชูกำลังเหมือนกัน แต่ก็มีสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากธุรกิจหลักนี้ต่างกัน โดยที่
โอสถสภา
เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอื่นหลายอย่าง ทั้งตัวเครื่องดื่มเอง เช่น คาลพีส แลคโตะ ซีวิต (C-Witt) และเครื่องดื่มเปปทีน คิดเป็นสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่ม 76% และสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องดื่มเลย เช่น เบบี้มายด์และทเวลฟ์พลัส เป็นต้น
คาราบาวกรุ๊ป
เป็นบริษัทที่เน้นสร้างรายได้จากธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มเกือบทั้งหมด สินค้าอื่น ๆ ของบริษัท นอกเหนือจากเครื่องดื่มชูกำลังแล้ว ก็ยังเป็นพวกเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ผสมซิงค์ ยี่ห้อ คาราบาว สปอร์ต น้ำดื่มยี่ห้อคาราบาว กาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่มยี่ห้อคาราบาว เป็นต้น
ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงพี่ทุยจึงขอมอบตำแหน่งให้กับโอสถสภา
ยกที่ 3 รายได้ที่มาจากการขายเครื่องดื่มชูกำลัง
โอสถสภา
ปี 2559 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.35
ปี 2560 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69.35
ปี 2561 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 74.20
คาราบาวกรุ๊ป
ปี 2559 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.78
ปี 2560 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 84.58
ปี 2561 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 86.40
ยกที่ 4 กำไรสุทธิ
โอสถสภา
ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 2,980 ล้านบาท
ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 2,939 ล้านบาท
ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 3,005.34 ล้านบาท
คาราบาวกรุ๊ป
ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 1,489.76 ล้านบาท
ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 1,245.81 ล้านบาท
ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,158.57 ล้านบาท
ยกที่ 5 การทำการตลาด
หัวข้อนี้ขอรวมทั้งการทำตลาดโดยใช้ดารา/ศิลปินเป็นพรีเซนเตอร์ และการเป็นสปอนเซอร์ให้กับการจัดกีฬาต่างๆ (Sport Marketing)
โอสถสภา
มีพรีเซนเตอร์ คือ ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม และในปี 2017 ที่ผ่านมาก็ได้รับรางวัล “Brand of the year” จากงาน “World branding award 2017” ด้วย เป็นการการันตีความสำเร็จว่าเเบรนด์เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ในด้าน Sport Marketing เนื่องจากทางโอสถสภามีคอนเซ็ปว่า “พลังฮึดสู้ เพื่อคนไทย” จึงเน้นสนับสนุนการจัดกีฬาในประเทศ เช่น ฟุตบอลไทยลีก2 M-150 แชมเปี้ยนส์ชิพ
คาราบาวกรุ๊ป
มีพรีเซนเตอร์ที่ติดตาคนไทยมานานคือ ยืนยง โอภากุลหรือ น้าแอ๊ด คาราบาว ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์มานานจนกลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ ถึงขนาดที่บางคนคิดว่า น้าแอ๊ด คาราบาวเป็นเจ้าของคาราบาวเลย (ฮ่า) บริษัทเองก็รู้ถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาศิลปินจนแทบจะกลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ จึงได้ทำสัญญาอย่างรอบคอบและต่อสัญญาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนด้าน Sport Marketing ทางคาราบาวได้ร่วมเป็นคู่สัญญาและการแข่งขันฟุตบอล เช่น สโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง สโมสรฟุตบอลเชลซี และ การแข่งขันฟุตบอลถ้วยลีกคัพของประเทศอังกฤษ ภายใต้ชื่อ Carabao Cup (EFL Cup)
ยกที่ 6 การค้าขายกับต่างประเทศ
โอสถสภา
เน้นขายสินค้าในไทยเป็นหลัก ในปี 2561 ที่ผ่านมา รายได้ในประเทศเป็นสัดส่วนมากถึง7%
คาราบาวกรุ๊ป
เน้นขายสินค้าในต่างประเทศมากกว่าโอสถสภา โดยเฉพาะตอนนี้มุ่งมั่นในการขยายตลาดที่จีน โดยปีที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศ 55% และสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 45%
ยกที่ 7 ด้านราคาและส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
ก่อนเขียนบทความนี้ พี่ทุยไปยืนเปรียบเทียบราคาและส่วนประกอบของ M-150 และคาราบาวใน 7-11 เลยนะ (อิอิ) และพบว่าเครื่องดื่มตั้ง 2 ยี่ห้อนี้ มีองค์ประกอบแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นชื่อสินค้า ทั้งราคาที่ตั้งไว้ 10 บาทเท่ากัน และปริมาตรสุทธิที่ 150 มล. รวมถึงจำนวนแคลอรี่ 90 แคลลอรี่ และองค์ประกอบภายในเครื่องดื่มที่จะส่งผลถึงต้นทุน (เนื่องจากรัฐบาลมีการเก็บภาษีความหวาน ยิ่งถ้าใส่น้ำตาลลงในเครื่องดื่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องเสียภาษีเยอะ) อย่างปริมาณน้ำตาลที่ 20 กรัมก็เท่ากัน
อาจจะเป็นเพราะว่าสินค้าชนิดนี้เป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่ถ้าหากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้อยกว่าคู่แข่ง ก็จะโดนแย่งลูกค้าไปในทันที เพราะฉะนั้นข้อนี้พี่ทุยให้ผ่านทั้งคู่นะจ๊ะ
เขียนไปเขียนมาพี่ทุยเริ่มหมดแรงแล้วเหมือนกัน เห็นทีจะต้องลองโด๊ปเครื่องดื่มชูกำลังพวกนี้ดูสักหน่อย เจ้าไหนอร่อยกว่าพี่ทุยจะเคาะขวาลากหุ้นให้เลย 100 หุ้นนะจ๊ะ ใจดีมั้ย? (ฮี่ฮี่)
Comment