เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ มีข่าวหนึ่งที่น่าตื่นเต้นของวงการสาธารณสุขข่าวหนึ่ง ที่ส่งผลทำให้เกิดการปรับตัวขึ้นของกิจการที่เกี่ยวข้องมาก ๆ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงที่ตลาดยังคงแดงแจ๋ก็ตาม พี่ทุยกำลังพูดถึงการที่ “BDMS ยกเลิกการเสนอซื้อหุ้น BH” หรือก็คือ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพขอเสนอซื้อหุ้นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์หรือที่จดทะเบียนในตลาด ใช้ชื่อตัวย่อว่า BH นั่นเอง โดยหลังจากที่ข่าวนี้มีการเผยแพร่ออกไป ก็เกิดการไล่ซื้อหุ้น BH อย่างบ้าคลั่งจนราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 18.75% ภายในวันเดียว
พี่ทุยขอเล่าคร่าว ๆ ถึงรายละเอียดของการเสนอซื้อครั้งนี้ คือ จริง ๆ แล้ว BDMS เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BH อยู่แล้วถึง 24.99% ดังนั้นการเสนอซื้อหุ้นอีก 74.83% ในครั้งนี้จึงเท่ากับว่า BDMS จะเป็นเจ้าของ BH ทั้งหมดเลย ตอนนั้น BDMS บอกว่าเรื่องเงื่อนไขในการซื้อเนี่ย เดี๋ยวจะประกาศออกมาอีกทีว่าจะรับซื้อยังไงใน 3-6 เดือนข้างหน้านะ
แต่เรื่องราวกลับ อ้าวเฮ้ย… ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า เพราะเมื่อในวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพหรือ BDMS ได้เปิดเผยว่า ได้ยกเลิกการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์หรือหุ้น BH แล้ว เพราะเห็นว่าเเนวโน้มของธุรกิจไม่ขยายตัว
ถ้าเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์อยู่เเล้วคงจะพอรู้ว่าราคาหุ้น (ในเชิงปริมาณ) ของ BDMS และ BH ต่างกันลิบลับ ในขณะที่หุ้น BDMS มีราคาตลาดอยู่ที่หลักสิบเท่านั้น ส่วนหุ้น BH มีราคาตลาดสามหลักมาตลอด ก่อนจะไปพูดถึงประเด็นถัดไป พี่ทุยขอขยายความเรื่อง “ราคาในเชิงปริมาณ” และ “ราคาในเชิงคุณภาพ” กันก่อน คือ ถ้าเราเปิดดูราคาตลาดของหุ้นในพอร์ต ณ ปัจจุบัน สิ่งที่เราจะได้เห็นคือราคาในเชิงปริมาณที่ตัดสินความถูกและแพงของสิ่งของหรือหุ้นนั้น ๆ จากเพียงเงินที่ต้องจ่าย เช่น รถของเล่นราคา 10,000 บาท กับรถยนต์จริง ๆ ราคา 500,000 บาท หากเราตัดสินโดยใช้มาตรวัดนี้ก็จะมองว่ารถยนต์แพงกว่า ส่วนราคาเชิงคุณภาพคือ เอาราคาที่ต้องจ่ายไปเทียบกับสิ่งที่เราจะได้รับ ในตัวอย่างนี้คือการพิจารณาว่า รถยนต์จริง ๆ สามารถใช้ขับโดยสารได้ สร้างความสะดวกสบายทั้งสำหรับชีวิตส่วนตัว เเละช่วยให้การทำงานคล่องตัว ในขณะที่รถของเล่นไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากวางโชว์ ถ้าเราตัดสินโดยใช้มาตรวัดแบบเชิงคุณภาพนี้ รถยนต์ก็อาจจะมีราคาถูกกว่านั่นเอง
ที่อธิบายมายืดยาวขนาดนี้เพราะอยากจะให้เห็นภาพว่า แม้ราคาในเชิงปริมาณระหว่าง BH และ BDMS จะถูกแพงกว่ากันหลายเท่า แต่ราคาในเชิงคุณภาพ ซึ่งในที่นี้เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างอัตราส่วน P/E (มาจากราคาตลาดหารด้วยกำไรที่กิจการสามารถสร้างได้) ของ BDMS เท่ากับ 36.74 เท่า และอัตราส่วน P/E ของ BH เท่ากับ 26.44 เท่า (กลุ่มสาธารณสุขเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วน P/E ค่อนข้างสูง และมีค่าเฉลี่ยที่ 36.54 เท่า) ถ้ามองในแง่ของราคาเชิงคุณภาพถือว่า BH ถูกกว่าด้วยซ้ำ นอกจากอัตราส่วน P/E แล้ว เราลองมาเปรียบเทียบระหว่าง BDMS และ BH ในด้านอื่น ๆ กันดีกว่า
โดยรวมแล้วจะพอประเมินได้ว่า BDMS นั้นใหญ่กว่า BH มาก พี่ทุยเคยได้ยินคำเปรียบเทียบถึง BDMS ประมาณว่า ถ้านึกถึงความยิ่งใหญ่ของเค้าไม่ออก ก็ให้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของกลุ่มซีพี แต่เป็นในอุตสาหกรรมโรงพยาบาล แต่ BH ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเสียทีเดียว เฉพาะในปี 2562 ที่ผ่านมานี้ อัตราส่วนกำไรของ BDMS จะอยู่ที่ประมาณ 16.8% ส่วน BH จะมีอัตราส่วนกำไรอยู่ที่ประมาณ 20% ถึงแม้จะมีจำนวนโรงพยาบาลในพอร์ตเพียงเเค่ 2 โรงพยาบาลเท่านั้น ฉะนั้นสาเหตุนึงที่อาจจะทำให้ BDMS ไม่ซื้อ BH อาจจะเป็นเพราะ โควิด-19 ก็ได้ ที่นอกจากจะลงทุนอะไรเพิ่มก็ต้องคิดให้หนัก ๆ และโครงสร้างรายได้ของ BH ที่คงไม่เอื้อประโยชน์ในสถานการณ์อย่างนี้นัก
รู้หรือไม่ BH มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากถึง 66%
หลายคนอาจจะคิดว่าเมื่อมีเหตุการณ์โรคระบาดอย่างนี้ โรงพยาบาลทั้งหลายก็ต้องได้ประโยชน์สิ เพราะคนย่อมตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น แต่ขอบอกว่าไม่ได้ดีกับทุกโรงพยาบาลนะ ในเมื่อบางโรงพยาบาลรายได้หลักของเค้าค่อนข้างพึ่งพาชาวต่างชาติ และในช่วงนี้ชาวต่างชาติเข้ามาไทยยากมาก ๆ อย่าง BH ที่เปิดเผยออกมาในรายงานประจำปีเองว่า ปี 2562 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลมีรายได้จากค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยต่างชาติสูงถึง 66% และมีผู้ป่วยไทยเพียง 34% เพราะฉะนั้นในสถานการณ์เช่นนี้รายได้ของ BH ก็คงกระทบไม่น้อย
แต่ช่วงที่ผ่านมาก็มีความหวังเรืองรองของธุรกิจที่รายได้เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติขึ้นมา คือเรื่องของ “Travel Bubble” หรือ “ระเบียงท่องเที่ยว” ซึ่งหมายถึงการจับคู่ด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศที่มีความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยด้าน โควิด-19 โดยประเทศที่มีการจับคู่กัน รัฐบาลจะเจรจากันให้เดินทางเข้าออกระหว่างกันได้โดยไม่ต้องมีการกักตัว 14 วัน แต่ก็ต้องมีเงื่อนไขบางอย่างนะ เช่น ถึงจะเข้ามาในประเทศได้ก็ต้องมีระบบติดตาม มีการซื้อประกันสุขภาพไว้ เป็นต้น ประเทศที่เป็นโมเดลในการทำ Travel Bubble ก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลียกับประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งจะเริ่มเปิดพรมแดนระหว่างกันในเดือนสิงหาคมนี้ ประเทศสิงคโปร์กับประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา นิวซีแลนด์และบางมณฑลของจีน ซึ่งข่าวนี้ก็เปรียบเสมือนน้ำฝนที่หยดลงบนพื้นดินที่แห้งแล้งอย่างธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรมหรือแม้เเต่โรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมากอย่าง BH
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ผ่านมา ระบบการแพทย์ของไทยถือว่าปังมาก ถึงขนาดเป็นอันดับที่ 6 ของโลกในด้านการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคระบาด ส่งผลให้ถ้าเกิดมี Travel Bubble จริง ก็คงจะมีการเดินทางมาใช้บริการสุขภาพในลักษณะของ Health Tourism มาก ซึ่งประเทศเป้าหมายในการทำ Travel Bubble ของไทย ก็อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลาว เมียนมา กัมพูชาและประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เริ่มมีหลายคนออกมาพูดกันว่า หลายประเทศที่ไทยตั้งเป้าจะทำ Travel Bubble ด้วยเริ่มมีการระบาดรอบสอง แง ๆ
เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปออกมานะ ยังไงพี่ทุยก็ขอช่วยลุ้นด้วยคน การเริ่มเปิดประเทศก็เป็นเรื่องที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจนั่นแหละ แต่นอกจากเรื่องสุขภาพการเงินแล้ว สุขภาพกายของเราก็สำคัญไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วยนะ
Comment