ถ้าพูดถึงหุ้นเติบโต P/E แรง แต่ราคาก็ยังพุ่งฉุดไม่อยู่ พี่ทุยขอมอบตำแหน่งนี้ให้ “TKN” อีกราย เพราะหลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนธันวาคม ปี2558 ที่ราคา 4 บาทต่อหุ้น เค้าก็บินขึ้นไปชนเพดานที่ราคา 29.50 คิดเป็นผลตอบแทนกว่า 7 เด้งในเวลาเพียงแค่ปีเดียว! ก่อนที่จะถูกยิงร่วงเหมือนนกปีกหักจนราคาลงมาแตะจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ราคา 6.70 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ช่วงที่ผ่านมา พี่ทุยเห็นข่าวการเปิดตัวทำนั่นทำนี่ของเถ้าแก่น้อยบ่อยๆ ทั้งการเปิดร้านขายข้าวแกงกะหรี่ แบรนด์ที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นในชื่อ “Hinoya Curry” และเปิดตัวสาขาแรกที่ห้าง The Market แว่วๆมาว่ากระแสตอบรับดีเลยแหละ คนเข้าร้านแน่นเอี๊ยดจนบางทีถึงกับต้องรอคิวทีเดียว นอกจากนี้ TKN ยังพยายามทำ Idol Marketing (การตลาดโดยใช้ศิลปิน) โดยการดึง F4 มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ที่ส่งขายที่จีนโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ TKN ได้เปิดตัว ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ ที่เปิดตามห้างต่างๆ และสร้างภาพลักษณ์ให้เป็น ร้านขายของฝากที่นักท่องเที่ยวอยากจะแวะซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน และเมื่อไม่นานมานี้เอง TKN ก็ได้ขยายธุรกิจออกนอกกรอบการขายสาหร่าย โดยเปิดตัวแบรนด์เครื่องดื่มเวย์โปรตีน ซึ่งมีชื่อว่า “MY WHEY”
พูดง่ายๆ ว่า TKN ได้พยายามกระจายความเสี่ยงในการพึ่งพาสินค้าอย่างเดียวในพอร์ตของตัวเองได้น่าชื่นชมไม่น้อย แม้ว่าเค้าจะขึ้นแท่นเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสาหร่ายแล้ว เพราะครองส่วนแบ่งตลาดไปถึง 69%
แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ทุยตั้งคำถามขึ้นมาในใจทันทีหลังจากได้อ่านรายงานประจำปีของ TKN คือ เค้าจะมีวิธีกระจายความเสี่ยงในด้านอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้ พี่ทุยขอเอาตัวเลขทางการเงินมาให้ดูก่อนนะ
ในช่วง 3 ปีหลังนี้ รายได้รวมของ TKN เพิ่มขึ้นตลอด แต่เมื่อมาดูที่กำไรสุทธิกลับลดลงสวนทางกันเลย เกิดอะไรขึ้นกับ TKN ไปดูกันเลยดีกว่า
ทางบริษัทบอกว่าสาเหตุที่กำไรของปี 2561 ลดลงจากปี 2560 เป็นเพราะ
- จำนวนนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง
- ภาวะการแข่งขันทางการตลาดที่ดุเดือด
- ปัญหาเรื่องผู้แทนจำหน่าย (Distributor) รายหนึ่งในจีน ที่ทำสินค้าลอกเลียนสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ภายใต้ชื่อ “Xiao Lao Ban” เหมือนกัน ทำให้กำไรลดลงต่ำกว่าคาดพอสมควรเลย ทาง TKN ได้จัดการกับปัญหาเรื่องนี้ รวมถึงยื่นฟ้องแล้วด้วย โดยการเปลี่ยนผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ ซึ่งประเด็นในข้อ 3 นี้ นอกจากจะส่งผลกระทบถึงกำไรในตอนที่มีการปล่อยสาหร่ายก๊อปปี้ออกมาขายแล้ว ยังส่งผลกระทบถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ประมาณ2% เพราะการเปลี่ยนตัวผู้แทนจำหน่ายย่อมมีค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ค่าทำลายสินค้าและบรรจุภัณฑ์ แล้วพอเปลี่ยนไปใช้บริการผู้แทนจำหน่ายคนใหม่ ก็ยังต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ (Re-Packaging) ก่อนจะส่งไปขายใหม่อีกครั้ง พอมีต้นทุนส่วนนี้เพิ่มถึงรายได้จะดีขึ้น แต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่า กำไรก็เลยลดลง
- แต่ก็จะโทษว่าที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นรัวๆ เป็นผลมาจากเรื่องผู้แทนจำหน่ายรายเก่าในจีนก๊อปปี้สินค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเค้ายังใช้ต้นทุนเพิ่มจากการทำการตลาดในต่างประเทศ เช่น จีน อินโดนีเซีย และประเทศกลุ่ม CLMV อย่างการจ้าง F4 มาเป็นพรีเซนเตอร์ในจีนโดยตรงใช้งบประมาณถึง 40 ล้านบาทเลยนะจ๊ะ
- มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียว (One-time Cost) เกิดขึ้น เช่น ค่าจัดการขยะและค่าเปลี่ยนผู้แทนจำหน่ายที่ได้เล่าไปแล้ว
สิ่งที่น่าจับตามอง คือ สัดส่วนรายได้จากภายในประเทศและต่างประเทศของ TKN
รายได้ในปี 2561 ที่ 5,662.7 ล้านบาทนี้คิดเป็นสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 39% และเป็นรายได้ที่เกิดจากต่างประเทศถึง 61% ซึ่งใน 61% นี้ คิดเป็นรายได้จากจีนถึง 65% ถ้ามองภาพรวมของรายได้ 100% แล้ว TKN มีรายได้จากจีนคิดเป็น 39% จากรายได้รวมทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรกระทบต่อความนิยมในสาหร่ายของคนจีนหรือมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ขายสาหร่ายให้จีนได้น้อยลง ทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นคงต้องกุมขมับ
จากรูปจะเห็นได้ว่า รายได้ไตรมาสที่ 4 จากการขายสาหร่ายในจีนของปีที่แล้วมีการสะดุด กำไรโดยรวมก็เลยสะดุดไปด้วยเพราะเค้าพึ่งพารายได้จากส่วนนี้เยอะ
มาดูด้านที่ดีของ TKN กันบ้าง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขายรวมจะลดลงเล็กน้อย เพราะปัญหาต่างๆที่เล่าไป) สาเหตุมาจากการที่ต้นทุนของสาหร่ายลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็ง ทำให้บริษัทซื้อสาหร่ายได้ในราคาที่ถูกลงถึง 15% เลยส่งผลถึงกำไรขั้นต้นยังไงล่ะ
และด้วยราคาของสาหร่ายที่ถูกลงมากขนาดนี้ ทางบริษัทจึงได้สต๊อกเก็บไว้ให้ใช้ได้จนถึงปี 2563 เลยแหละ และบันทึกรายการไว้เป็นสินค้าคงเหลือ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 37.7% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีสินค้าคงเหลือเพียง 729.7 ล้านบาทเป็น 1,427.11 ล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นคือ เพิ่มขึ้นถึง 95.6% ซึ่งส่วนของต้นทุนที่ลดลง คงจะสะท้อนออกมาในงบการเงินไตรมาสต่อๆไป
อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ทุยเห็นตลอดในสินค้าของ TKN คือการที่เค้าพยายามปรับรูปลักษณ์ให้เข้าถึงคนในประเทศปลายทางได้ง่ายขึ้น เช่น การจ้างพรีเซนเตอร์คนจีนเพื่อโปรโมทสินค้าในจีน หรือการมีรูปแบบซองสินค้าที่ต่างออกไปในต่างประเทศ เช่น จีน เมื่อไม่นานมานี้ TKN ก็ได้บุกตลาดอเมริกาและขายสาหร่ายแบ่งออกเป็น 2 แบรนด์คือ “Nora” เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนอเมริกันและแบรนด์เถ้าแก่น้อยดั้งเดิม สำหรับชาวเอเชียที่อยู่ที่นั่น
คงต้องดูกันต่อไปว่า TKN จะกลับมาเป็น “สาหร่ายทองคำ” ได้หรือเปล่า พี่ทุยเห็นทางบริษัทมีโครงการลงทุนขยายสาขาเพิ่มหลายอย่าง เช่น เถ้าแก่น้อยแลนด์และร้านข้าวแกงกะหรี่แบรนด์ Hinoya ที่เพิ่มขึ้นแน่ๆ คือต้นทุน แต่ที่ยังไม่รู้และต้องลุ้นกันต่อไป คือ การหว่านเมล็ดในครั้งนี้ จะออกดอกออกผลมาดีมั้ย อร่อยหรือเปล่า เอาเป็นว่าพี่ทุยรอชมและรอชิมนะจ๊ะ
Comment