“หุ้น Facebook” น่าจะเป็นที่รู้จักของทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้แน่นอน และก็น่าจะรู้จักเจ้าของที่ชื่อว่า Mark Zuckerberg แต่รู้กันหรือไม่ว่า ณ ปัจจุบัน Mark Zuckerberg ไม่ใช่เจ้าของ Facebook อีกต่อไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับ Facebook พี่ทุยจะสรุปให้ฟัง ว่านักลงทุนแบบเราต้องรู้อะไร..
หุ้นใหญ่ที่สุดก็คือ Vanguard Group Inc. ที่เป็นบริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นอันดับสองผู้ให้บริการ ETF (Exchange Traded funds) ซึ่งบริษัทมีขนาดใหญ่ถึง 6.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 200 ล้านล้านบาท นอกจากจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Facebook แล้ว ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Apple อีกด้วย
Facebook เป็น Multiple-Class Share มีการแบ่งหุ้นออกเป็น 2 คลาส คือ Class-A และ Class-B
พี่ทุยต้องบอกก่อนว่ารายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้ง 10 อันดับเป็นรายชื่อผู้ถือหุ้น Class-A เท่านั้น ไม่นับรวมหุ้น Class-B ของ Facebook ก่อนจะไปกันต่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Facebook พี่ทุยขอพาไปรู้จักการแบ่ง Class ของหุ้นกันก่อนว่าคืออะไร แล้วเกี่ยวกับอะไรกับ Facebook กันแน่ ?
ในต่างประเทศการแบ่ง Class ของหุ้นจะเป็นที่นิยมมากหรือที่เราจะเรียกหุ้นแบบนี้ว่า Multiple-Class Share โดยหลักการแบ่ง Class นั้นส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของ “สิทธิในการโหวต” เป็นหลัก ถ้าเอาตัวอย่างที่เราน่าจะหุ้นเคย คือ การถือหุ้นแบบ NVDR หรือการถือหุ้นแบบที่มีสิทธิเหมือนหุ้นปกติทุกอย่างยกเว้นการออกเสียงในที่ประชุมเท่านั้น
การแบ่ง Class ก็เช่นกัน ส่วนมากจะแบ่ง Class พิเศษให้กับผู้ถือหุ้นที่ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โดยจะได้รับสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมมากกว่าปกติ โดยสัดส่วนในการโหวตพิเศษนั้นจะแล้วแต่บริษัทนั้น ๆ จะกำหนดไว้
หุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี เพราะ GOOGL หรือ Google นั้นมีการแบ่ง Class ถึง 3 Class ได้แก่ A, B และ C โดย A กับ C สามารถซื้อขายได้อิสระในตลาด และ B จะเป็นส่วนของผู้ร่วมก่อตั้งโดยเฉพาะ
Facebook เองก็มีการแบ่ง Class การถือ โดยจะเรียกว่า “Dual Class” หรือ 2 Class นั่นเอง ซึ่ง Class-A จะเป็นส่วนที่เราเห็นในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ด้านบน เป็นหุ้นที่มีไว้เพื่อซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้บุคคลทั่วไปสามารถมีสิทธิในการจับจองได้ มีด้วยกันทั้งหมด 2,404,282,110 หุ้น โดยจะมีสิทธิในการโหวตแบบปกติคือ 1 เสียง ต่อ 1 หุ้น ซึ่งหากเรามองดูที่ Free-Float หรือ สัดส่วนที่นักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จะมีตัวเลขสูงถึง 99.3% เลยทีเดียว
ส่วนอีก Class นึงที่ Facebook มีนั้นคือ Class-B ที่มีไว้สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้ก่อตั้ง ซึ่งหนึ่งในผู้ถือหุ้นนั้นก็คือ Mark Zuckerberg นั่นเอง โดย Class-B จะมีหุ้นทั้งหมด 444,533,708 หุ้น มีสิทธิในการโหวต 10 เสียง ต่อ 1 หุ้น หรือหากคิดเฉพาะส่วนของ Class-B ทั้งหมดจะมีเสียงมากกว่าผู้ถือหุ้นทั่วไปจาก Class-A เกือบ 2 เท่าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสิทธิเด็ดขาดเป็นของ Class-B หรือผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนั่นเอง
Mark Zuckerberg ถือ “หุ้น Facebook” เพียง 13.9% ของหุ้นทั้งหมด แต่มีสิทธิออกเสียงสูงถึง 57.9% ของเสียงทั้งหมด
เหตุผลที่เราไม่พบชื่อ Mark Zuckerberg ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เพราะเป็นรายชื่อใน Class-A เท่านั้น โดยหุ้นที่ Mark Zuckerberg ถืออยู่ใน Class-B เป็นหุ้นที่นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ และเป็นหุ้นที่จะต้องซื้อขายผ่านตลาด OTC เท่านั้น ไม่สามารถซื้อขายผ่านตลาดรองอย่างตลาดหุ้นเหมือน Class-A ได้
ปัจจุบัน Mark Zuckerberg ติดอันดับ 7 ของ Forbes World’s Billionaires ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 54.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (วันที่ 15 เมษายน 2020) ก่อนที่จะเป็น 107.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมาจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นของ Facebook
Mark Zuckerberg มีสัดส่วนการถือครองมากกว่า 89.1% ของหุ้นทั้งหมดใน Class-B ทำให้ Mark Zuckerberg มีสิทธิในการโหวตถึง 57.9% ของเสียงโหวตใน Facebook ถึงแม้จะถือหุ้นเพียง 13.9% เท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่า Mark Zuckerberg คือ ผู้บริหารที่มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าของก็ว่าได้
ด้วยผลโหวตของ Mark Zuckerberg ที่มากกว่าครึ่งนั้นทำให้ผลโหวตจากนักลงทุนภายนอกหรือ Class-A นั้นไม่มีความหมายเลย หรือหมายความว่า Mark มีอำนาจผูกขาดในการควบคุม Facebook
ซึ่งเรื่องนี้เองก็เป็นปัญหาที่ถูกเรียกร้องจากฝั่งนักลงทุนภายนอกมานาน โดย Open Mic หน่วยงานเคลื่อนไหวอิสระเพื่อผู้ถือหุ้นในสหรัฐอเมริกานั้นก็ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนสัดส่วนการโหวตของ Class-B เนื่องจากกว่า 83.2% ของผู้ถือหุ้นเองก็อยากให้ทบทวนการแบ่งแยกชนชั้นนี้ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้มีสิทธิมีเสียง และส่งเสียงเหล่านี้ถึงกรรมการและผู้บริหารบ้าง
การที่ผู้ก่อตั้งนั้นจะมีสิทธิในการกำหนดทิศทางของบริษัทนั้นในมุมนึงนั้นก็ถูก แต่เมื่อ Facebook กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่แล้ว และเงินจำนวนไม่น้อยนั้นก็เป็นการสนับสนุนจากนักลงทุน ดังนั้นนักลงทุนเองก็ควรจะมีสิทธิในกำหนดทิศทางของบริษัทด้วยเช่นกัน
แล้วถ้าใครอยากซื้อหุ้น Facebook พี่ทุยมีคำแนะนำกับบทความ อยากซื้อหุ้น Facebook ต้องทำยังไง ?
Comment