คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

คู่มือ “ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน” (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

5 min read  

ฉบับย่อ

  • การวางแผนจัดงานแต่งงานนั้นมีความซับซ้อนทั้งในเรื่องของค่าสถานที่ อาหาร ช่างภาพ ซึ่งแต่ละอย่างก็มีทางเลือกหลากหลาย
  • ในบทความนี้จะเป็นการสรุปค่าใช้จ่ายแบบหมดเปลือก เพื่อเป็นคู่มือสำหรับงานแต่งงาน (ตอนเย็น) ที่มีจำนวนแขก 500 คน ในโรงแรมระดับ 4 ดาวครึ่ง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ก่อนหน้านี้พี่ทุยเคยมาเล่าถึงเรื่อง ค่าใช้จ่ายงานแต่งงานตอนเช้า มาให้ฟังกันแล้ว มาถึงตอนนี้พี่ทุยก็มีคู่มือ “ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน” (ตอนเย็น) หรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นงานฉลองมาฝากกัน (งานที่อาจจะจัดตอนกลางวันก็ได้ แต่เพื่อความง่ายและให้เข้าใจตรงกัน พี่ทุยจะเรียกว่างานเย็นแล้วกันนะ)

ใครที่คิดว่างานเช้ามีค่าใช้จ่ายเยอะแล้ว งานเย็นนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่พี่ทุยได้มาเป็นการเก็บช้อมูลจากคู่แต่งงานที่เพิ่งจัดงานไป รวมถึงข้อมูลที่พี่ทุยไปทำการ research มาเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยพี่ทุยขอบอกก่อนว่า ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างอาจจะมีทั้งที่ถูกและแพงกว่านี้ แต่บทความนี้จะมาช่วยให้ใครหลายคนที่ยังไม่ได้เริ่มหาข้อมูล เห็นภาพและเริ่มวางแผน “ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน” ได้ดีมากขึ้น

คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

1. ค่าสถานที่จัดงานและอาหาร

ซึ่งการจัดงานเย็นนั้นจะค่อนข้างต่างจากงานเช้ามาก งานเช้าจะเป็นเรื่องของพิธีการ มีมากมายหลายขั้นตอนตามแต่ที่คู่บ่าวสาวจะต้องการ แต่งานเย็นโดยทั่ว ๆ ไปที่คนนิยมจัดกันหลัก ๆ แล้วจะไม่ได้มีพิธีอะไรมากมายนักจะมีก็เพียงแค่

  1. ตั้งโต๊ะลงทะเบียนและต้อนรับแขกแจกของชำรวย
  2. เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนถ่ายรูปกับแขกหน้างาน
  3. เดินเปิดตัวคู่บ่าวสาว
  4. ฉาย Presentation (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
  5. เชิญประธานมาคล้องพวงมาลัยพร้อมกล่าวอวยพร (บางงานอาจจะเชิญมากกว่าประธานเช่น ให้พ่อแม่กล่าว เพื่อนสนิทกล่าว)
  6. ช่วงตอบคำถาม
  7. ตัดเค้ก โยนดอกไม้
  8. ส่งแขก + After party (ถ้ามี)

ซึ่งจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเลย มีแต่ยืนถ่ายรูปและอยู่บนเวทีแทบทั้งสิ้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่โรงแรมหรือสถานที่จัดงานเราจะคิดแค่ “ค่าอาหาร” เท่านั้น จะไม่ได้เป็นเหมือนงานเช้าที่มีค่าพิธีการที่ต้องเตรียมอุปกรณ์ อย่างมากโรงแรมก็จะเตรียมสายรัดข้อมือเพื่อนเจ้าสาว กล่องใส่ซอง หรือดอกไม้ติดอก VIP เท่านั้น ซึ่งโดยมากแล้วโรงแรมจัดแถม ไม่แถมก็ต่อรองได้เลยจัดไปอย่าให้เสีย

แต่เรื่องที่พี่ทุยรู้สึกว่าเป็นประเด็นที่คนสงสัยกันเยอะก็คือการเลือกระหว่างจัดแบบ “Cocktail” หรือจัดแบบ “โต๊ะจีน” ดี แบบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และค่าใช้จ่ายต่างกันหรือไม่ พี่ทุยอยากบอกว่าจริง ๆ แล้วค่าใช้จ่ายของ 2 แบบนี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก หากบ่าวสาวคู่ไหนเข้าไปดูโบรชัวร์ของโรงแรมต่าง ๆ อาจจะเห็นว่า เอ๊ะทำไมแบบ Cocktail มันดูถูกกว่าเยอะเลย พี่ทุยอยากบอกว่าไม่จริง !!

การคิดราคาของ Cocktail มันจะขึ้นอยู่กับอาหารที่เราเลือกมาลงในงาน โดยเริ่มแรกเราจะต้องเลือกราคาขั้นต่ำเสียก่อน ซึ่งราคาขั้นต่ำจะประกอบด้วยพวก Canapes หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ของร้อนหรือเย็น ชิ้น หรือถ้วยเล็ก ๆ ที่ให้เราหยิบแล้วเดินกินสวย ๆ นั่นแหละที่เห็นกันตามในหนัง เช่น สลัดกุ้งที่ใส่อยู่ในแก้วทรงสูง ซึ่ง Canapes ในเมืองไทยเราก็มีการประยุกต์ให้เข้ากับการกินของบ้านเรามันก็เลยมีค่อนข้างหลากหลายเลย แบบไทย ๆ เราก็มีอย่าง กระทงทอง เมี่ยงคำ ปอเปี๊ยะกุ้งทอด รวมถึงของหวานต่าง ๆ ด้วย

แต่อย่างที่บอกไปราคานี้จะเป็นราคาขั้นต่ำเท่านั้น เราอาจจะต้องเลือกบูธอาหารเพิ่มเติมด้วย อย่างที่หลาย ๆ คนเห็นก็จะมีบูธข้าวมันไก่ อาหารญี่ปุ่น บะหมี่เกี๊ยวต่าง ๆ ซึ่งราคาก็จะขึ้นอยู่กับชนิดอาหารและงบประมาณของเรา แบบ Cocktail เนี่ยทางโรงแรมก็จะเสิร์ฟเท่าที่เราสั่ง อย่างเราสั่งบูทข้าวมันไก่ 100 จาน เขาก็จะเสิร์ฟแค่ 100 จาน เท่านั้นไม่มีแถม ทำให้เป็นความยากของการจัดแบบนี้ที่ต้องจัดและคำนวณอาหารให้เพียงพอต่อแขก แต่หากจัดบูธมาลงเยอะเกินไปก็จะเปลืองงบประมาณเช่นกัน

จากที่พี่ทุยหาข้อมูลมามันก็มีหลักคร่าว ๆ ดังนี้ สมมติแขกมา 500 คน นอกจาก Canapes ที่เราต้องเลือกแล้วให้คูณประมาณ 2.5 เท่าของจำนวนแขกจะได้เท่ากับ 1,250 จาน ให้เราเลือกบูธอาหารให้มาเติมให้ครบอีก 1,250 จาน (อาจจะเป็นจานหรือเป็น Portion ก็ได้นะโรงแรมจะบอกไว้เองเลยว่าราคาเท่าไหร่ต่อ portion/จาน) ซึ่งโดยมากแล้วหากเลือกใช้บริการของโรงแรมจัดบูธอาหารมักจะแพงกว่าข้างนอกมากนัก บ่าวสาวส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนำบูธจากข้างนอกเข้ามา ซึ่งก็จะมีค่านำเข้าอาหารอีก แถมยังจำกัดด้วยว่าห้ามเกินกี่บูธ โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ให้นำเข้าจากข้างนอกเกิน 2 บูธ ซึ่งพี่ทุยบอกเลยว่าบวกไปบวกมา ราคาก็พอ ๆ กันกับแบบโต๊ะจีนนั้นแหละ ไม่ได้ต่างกันมากนัก พี่ทุยลองบวกมาหลายโรงแรมแล้ว มาดูที่โต๊ะจีนกันบ้าง โต๊ะจีนก็เลือกง่ายหน่อยราคาจะมาเป็น Set ให้เราเลือกขึ้นอยู่กับความหรูหราของอาหาร 10 คนต่อ 1 โต๊ะ ดังนั้นในส่วนของราคาพี่ทุยว่าไม่ได้มีประเด็นอะไรมาก

ข้อดี-ข้อเสียของการจัดแบบ Cocktail

เรามาดูข้อดีข้อเสียด้านอื่น ๆ กันดีกว่า ข้อดีของแบบ Cocktail คือ จัดการกับแขกง่ายไม่ต้องค่อยมาดูว่าจะให้ใครนั่งกับใคร แขกไม่เบื่อที่จะต้องนั่งอยู่กับที่คุยกันแค่ 10 คน สามารถเดินไปคุยกับหลายคน ๆ ได้ บรรยากาศในงานจะดูสวยงามจะไม่ได้ดูแบบเป็นโต๊ะ ๆ อึดอัด ดูหรูหรากว่า และข้อดีที่สุดทำให้แขกที่มาคนเดียวหรือมาแบบไม่ค่อยรู้จักใครในงาน แขกเหล่านี้จะมาได้อย่างไม่เขินเลย ลองนึกภาพว่าถ้าเป็นโต๊ะจีนแล้วเราต้องไปนั่งทานอาหารกับใครไม่รู้อีก 9 คน เป็นชั่วโมง จะตักอะไรก็เกรงใจก็คงอึดอัดน่าดู

แต่ข้อเสียของ Cocktail ก็มีเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วในงบประมาณที่เท่ากันอาหารแบบโต๊ะจีนจะดีกว่า หากใครเคยไปร่วมงานแบบ Cocktail บ้าง ก็คงพอจะนึกออกว่าส่วนใหญ่เราจะได้ทานพวกข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง แต่ถ้าเป็นโต๊ะจีนอย่างน้อย ๆ ก็มีกระเพาะปลา ปลานึ่งแน่ ๆ แหละ และที่สำคัญคือแขกบางกลุ่มจะกลับกันเร็วมาก อารมณ์แบบมาให้ซองถ่ายรูปเข้าไปกิน ๆ ให้คุ้มค่าซองแล้วกลับเลย ฮ่า ๆ ซึ่งมันอาจทำให้งานโล่ง ๆ ยิ่งถ้าเราเป็นคู่บ่าวสาวมองมาจากบนเวทีจะเห็นชัดเจนเลย และแขกผู้ใหญ่บางคนอาจจะบ่นว่าเมื่อย ไม่มีเก้าอี้

ข้อดี-ข้อเสียของการจัดแบบโต๊ะจีน

ทางฝั่งโต๊ะจีนก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียนะ ข้อเสียที่สำคัญที่สดก็ตามที่บอกไป ก็คือ การจัดผังที่นั่ง เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเดาว่าใครจะมาหรือไม่มา จึงทำให้ยากต่อการคำนวณค่าใช้จ่าย หรือบางทีมาแล้วเอาแฟนเอาลูกมาก็อาจทำให้ผังที่วางไว้เสียหมดเลย และที่สำคัญแขกส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะนั่งกับใครไม่รู้ สมมติว่า นาย A มากับแฟนและลูก รวมแล้ว 3 คน พอไปในงาน โต๊ะเพื่อนเต็มหมดแล้ว โต๊ะที่มีที่ว่าง 3 ที่เป็นใครไม่รู้ นาย A จะเลือกนั่งหรือเลือกเปิดโต๊ะใหม่ ฮ่า ๆ แน่นอนหากเราเป็นนาย A เราก็เลือกเปิดโต๊ะใหม่ ซึ่งหากไม่มีคนคอยจัดโต๊ะคอยบอก พี่ทุยเชื่อว่าแต่ละโต๊ะจะไม่เต็ม 10 คนแน่นอน

ดังนั้นการจัดแบบโต๊ะจีนต้องการทีมงานจำนวนมากเลย ที่จะมีทำหน้าที่จัดหาโต๊ะให้ แบบ Cocktail จึงสบายกว่าเยอะ และข้อเสียอีกข้อก็คือรูปแบบของงานจะดูไม่ค่อยหรูหราตามความคิดของคนรุ่นใหม่ แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ข้อดีคือ ทุกคนได้นั่ง อาหารดูดีกว่าในราคาที่เท่า ๆ กัน แขกไม่ค่อยหนีกลับบ้านเพราะอาหารยังออกไม่ครบ

ทีนี้มาดูค่าใช้จ่ายกันบาง โดยส่วนใหญ่แล้วพี่ทุยอยากให้ตีราคาเป็นต่อหัวแล้วกัน ซึ่งราคามันมีหลากหลายมาก ๆ ขึ้นอยู่กับคุณภาพอาหาร ไล่ตั้งแต่ โรงแรม 5 ดาว จะเริ่มต้นที่หัวละประมาณ 2,000 บาท แต่อันนี้คืออาหารหรูมากเลยนะ มีทั้งเป็ดปักกิ่ง ปลากะพงนึ่ง โรงแรม 4 ดาว ราคาจะลดลงมาที่ประมาณหัวละ 1,500 บาท จากเป็ดปักกิ่งก็เหลือเป็นเป็ดย่างไรงี้ โรงแรม 3 ดาวครึ่ง หัวละต่ำกว่า 1,000 บาทแน่นอน และหากเป็นการจัดตามร้านอาหารหรือสถานที่จัดงานแต่ง ก็ตกหัวละประมาณ 500-1,000 บาทนั่นแหละ ราคานี้เป็นราคาในกรุงเทพฯ และเป็นราคาเฉลี่ย ๆ ที่พี่ทุยหาข้อมูลมา แน่นอนว่าคงมีถูกกว่านี้แน่นอนแต่อย่างที่พี่ทุยบอกไป ก็ขึ้นกับชนิดอาหารด้วย

และสิ่งที่ทุยอยากแนะนำอีกครั้งเวลาไปคุยราคากับสถานที่จัดงาน ต้องดูว่าเขาแถมและเขาคิดอะไรเราเพิ่มบ้าง อย่างที่พี่ทุยบอกไป ทุกอย่างที่เราต้องการล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ตั้งแต่ค่านำเข้าบูธอาหาร ค่าเปิดขวด ค่านำเข้าทีมงานตกแต่ง ค่านำเข้าวงดนตรี ค่าดอกไม้ที่ใช้ตกแต่งในงาน ซึ่งรายละเอียดพวกนี้มันขึ้นอยู่กับโรงแรมจัดแพ็กเกจ พี่ทุยอยากให้เทียบกันแบบหมัดต่อหมัด เมนูต่อเมนูเลยนะไม่ใช่ดูแค่ราคาไม่งั้นมันจะบอกยากว่าที่ไหนถูกกว่ากัน

บางที่ราคาขั้นต่ำเสนอมาถูกมากแต่บวกไปบวกมาแพงซะงั้นก็มี อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือของแถม อย่างโรงแรมเนี่ยมักจะแถมเป็นห้องพัก ห้องแต่งตัว ซึ่งตรงนี้พี่ทุยแนะนำว่าให้ต่อรองเขาไปเลย เขาเพิ่มให้ได้อยู่แล้ว ยังไงห้องแต่งตัวก็ต้องใช้ โดยสรุป หากจัดโรงแรม 4 ดาว – 4 ดาวครึ่ง แขกประมาณ 500 คน งบจะอยู่ที่ประมาณ 750,000 บาท ถ้าโรงแรม 5 ดาวก็ 1 ล้านแน่นอน

คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

2. ของชำร่วยและการ์ดแต่งงาน

ต่อมาพี่ทุยอยากพูดถึงเรื่องการ์ดและของชำรวย โดยปกติแล้วการ์ดเดี่ยวก็มีให้เลือกเยอะมาก ๆ ตั้งแต่การ์ดกระดาษธรรมดา การ์ดที่เป็นแบบใส การ์ดรูปตั๋วเครื่องบิน ซึ่งราคาไม่ได้ต่างกันนักหรอกเพราะเขาปริ้นสีเหมือนกัน ราคาจะขึ้นอยู่กับชนิดของกระดาษมากกว่า ว่าเราอยากได้เนื้อแบบไหน เนื้อหนาก็ดูพรีเมี่ยมหน่อย ซึ่งราคาจะตกอยู่ที่ประมาณ 12-18 บาทต่อ 1 ใบ แล้วแต่ร้าน แต่ถ้าเราเพิ่มการพิมพ์แบบฟอย หรือที่เป็นแบบนูน ๆ สะท้อนแสง ราคาก็จะกระโดดเลย หากปั้มฟอยไม่เยอะร้านจะคิดประมาณ 5 บาท ต่อ 1 ใบ แต่ถ้าปั้มเยอะจะเป็น 8 บาท

นอกจากนี้ฟอยยังปั้มที่ซองได้อีกด้วย อันนี้ก็ลองเลือกเอาแล้วกันว่าอยากจะได้งบประมาณเท่าไหร่ อย่างคู่นึงที่พี่ทุยเห็น เขาเลือกปั้มทั้งการ์ดปั้มทั้งซอง รวมแล้ว 1 ซอง เขามีค่าใช้จ่ายประมาณ 28 บาทเลย เพราะเขาบอกว่าอยากให้คนเห็นการ์ดหรู ซึ่งการพิมพ์การ์ดพี่ทุยแนะนำให้สั่งเผื่อมาจะดีกว่านะ หากไม่พอแล้วไปสั่งเพิ่มจะเสียราคามันจะแพงกว่าเดิม พอของแบบนี้ยิ่งพิมพ์น้อยราคาต่อชิ้นยิ่งแพง มาพูดถึงรูปแบบและค่าใช้จ่ายในการออกแบบกันบ้าง โดยส่วนใหญ่แล้วหากเราไปเลือกในแบบที่เค้ามีอยู่ แล้วทำแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนชื่อเราลงไป มักจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการออกแบบเพิ่มแต่เมื่อใดก็ตามที่เราปรับเปลี่ยนจะมีค่าใช้จ่ายทันที อย่างต่ำก็ 500 บาท แล้วแต่เจ้า

ซึ่งพี่ทุยแนะนำให้พิมพ์การ์ดมาประมาณแขกในงานนั่นแหละ เช่น แขก 500 คนก็พิมพ์ 500 คน เพราะมันต้องมีบางครอบครัวแน่ ๆ ที่แจก 1 คนแต่มามากว่า 1 คน มันจะถัว ๆ กับแขกคนที่เราแจกไปแล้วไม่มาพอดี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย ๆ ที่พี่ทุยเห็นก็จะประมาณ ใบละ 15 บาท แขก 500 คนก็ประมาณ 7,500 บาท

ต่อมามาดูกันที่ของชำรวย ของชำรวยก็มีให้เลือกอีกเยอะแยะเช่นกัน ไล่ตั้งแต่ถูก ๆ ประมาณชิ้นละ 15 บาท ถึงแบบ แพงชิ้นละ 60 -70 บาทก็มี อย่างของที่ราคาไม่สูงมากก็จะเป็นพวก Magnet ติดตู้เย็น อันนี้ประมาณ 15 บาท นิยมใช้การ์ดนั้นแหละเป็นแบบ หรือแพงขึ้นมาหน่อยเช่นพวก สมุดฉีก สบู่ น้ำผึ้ง พวกนี้ก็จะราคาประมาณ 20-30 บาท พวก ช้อนส้อม แก้วเล็ก ๆ พวกนี้ก็ประมาณ 40 บาท อันที่แพงสุดที่พี่ทุยเห็นก็น่าจะเป็นพวกกระเป๋าผ้าสกรีนลาย ประมาณ 60 บาท อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่าวางงบตรงนี้ไว้เท่าไหร่ พี่ทุยให้เฉลี่ย ๆ ประมาณ 20 บาท ต่อชิ้น 500 คนก็ 10,000 บาท พอดี

คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

3. ค่าตกแต่งสถานที่

มาเป็นเรื่องของทีมตกแต่งสถานที่ อันนี้ก็มีรายละเอียดเยอะอีกเช่นกัน โดยปกติแล้วคนจะนิยมตกแต่งสถานที่ 3 จุดด้วยกัน ได้แก่ เวที ทางเดิน และ Backdrop ถ่ายรูป แต่ละจุดเนี่ยก็จะมีราคาที่แตกต่างกัน พี่ทุยของเริ่มจาก Backdrop แล้วกัน อันนี้ให้ดูที่ความสูงและความกว้างก่อนเลย ยิ่งใหญ่มันยิ่งแพง ส่วนใหญ่แล้ว Backdrop จะใช้โครงสร้างหนักก็คือเป็นฉากขึ้นมา จะมี Layer หรือป่าวอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย แต่หลาย ๆ เจ้าพอมี layer เป็นหลายมิติ ราคาก็จะยิ่งแพง และสุดท้ายก็เป็นการเลือกว่าดอกไม้จะเอาดอกไม้จริง 100% หรือครึ่ง ๆ กับดอกไม้ปลอมซึ่งถ้าเจ้าที่ทำเก่ง ๆ ครึ่ง ๆ ก็ไม่แย่นะ เขาจะเอาดอกไม้ปลอมซ่อนไว้ข้างหลังเพื่อดันให้ดอกไม้จริงดูเต็มก็จะประหยัดได้เยอะเลย ราคาขั้นต่ำที่พี่ทุยเห็นก็จะ 30,000 บาท หากทำแยกนะ ถ้าทำแบบเหมาทั้งงานมันก็จะถูกลง ส่วนเจ้าดัง ๆ นี่ราคาเป็นแสนเลยก็มี เพราะเค้าถือว่าเป็นงานศิลป์

ในส่วนของทางเดินคนนิยมทำเป็นแบบ Gallery รูปภาพ เน้นที่เป็นโครงสร้างเบาคือเป็นแบบพวกโครงเหล็กเปลือยแล้วติดรูปตกแต่งดอกไม้ ทำให้ราคาไม่สูงมากนักถ้าแบบนี้ก็ขึ้นอยู่ว่าเราติดกี่รูป รูปนึงประมาณ 3,000-4,000 บาท ใช้ประมาณ 6 รูปขึ้นไปรวม ๆ ก็อยู่ราว ๆ 20,000 – 30,000 บาท หรือจะเป็นสไตล์อุโมงค์ผ้าก็ได้ อันนี้ก็ถูกลงมาอีก ประมาณ 10,000 บาทเท่านั้น สุดท้ายในส่วนของเวทีจริง ๆ แล้วก็จะมีลักษณะเดียวกันกับ backdrop แต่อาจจะมีขนาดเล็กกว่า ราคาก็ลดลงไป

ซึ่งบางเจ้าจะจัดไว้ให้เป็น Package เลย 3 จุด ลดราคารวมกันแล้ว 45,000 บาท ก็มี หรือถูกกว่านั้นก็เคยเห็น แต่ที่สำคัญต้องดูรายละเอียดตามที่พี่ทุยบอกว่ามีกี่จุด แต่ละจุดเป็นโครงสร้างแบบไหน มีความสูงความกว้างเท่าไหร่ ติดรูปได้กี่รูป ต้องลองเทียบกับดู แต่โดยส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายในการตกแต่งงานเท่าที่พี่ทุยถามมาก็จะอยู่ประมาณ 75,000 บาท 3 จุด ทีนี้มันจะมีอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นการเปลี่ยนงานทั้งงานเลย คือไม่ได้ทำแค่ 3 จุด แต่ทำทุกอย่างตกแต่งโต๊ะแต่ละโต๊ะ ผนังกำแพงต่าง ๆ ก็ตกแต่งให้เข้าตรีม เรียกว่าเปลี่ยนห้องธรรมดาไปเลยเหมือนเข้าไปอยู่อีกมิติ แบบนี้จะราคาสูงมากเท่าที่พี่ทุยเห็นคือ ราคาขั้นต่ำเริ่มที่ 450,000 บาท เอาไปดาวน์คอนโดได้เลยทีเดียว แต่ของแบบนี้ก็อยู่ที่ความชอบและงบประมาณของแต่ละคน หากงบได้และชอบก็จัดไปเลย

คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

4. ช่างแต่งหน้าและช่างภาพ

ต่อมาเป็นทีมช่างภาพ ราคาก็จะประมาณตามที่พี่ทุยเคยเขียนให้รายละเอียดแล้ว เข้าไปดูได้ที่ลิ้งค์งานแต่งตอนเช้าที่นี่เลย คลิก 

ช่างภาพ 20,000 – 30,000 บาท ต่องาน ช่าง Video อีก 20,000 บาท อันนี้แล้วแต่เลยจะมาเก็บภาพ video ในงานก็ 20,000 บาท หรือจะจ้างไปก่อนเพื่อทำ Presentation ก็ประมาณนี้ รวมถึงค่าจ้างคนรันคิว ซึ่งในงานนี้คนรันคิวจะมีหน้าที่สำคัญในการเปิดตัวบ่าวสาวคอยคุมแสงสีเสียงทั้งหลาย รวมถึงดูแลความเรียบร้อยในงานให้ราบรื่น ราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวนแขก อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 15,000 บาทต่อแขก 500 คน

ค่าแต่งหน้าทำผมของบ่าวสาวแล้วแต่จะเลือกช่างเลย รวมถึงค่าชุดของแต่ละคน เจ้าบ่าวก็จะราคาไม่แพงมากนักตามที่เคยให้รายละเอียดก็จะเป็นชุดสูท ราคาเช่าอยุ่ที่ประมาณ 3,000 – 5,000 บาท ราคาตัดก็อยู่ตั้งแต่ 7,900 – 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อผ้า (อันนี้เลือกเอาที่มียี่ห้อนะ ถ้าแบบไม่มีแบรนด์ราคาก็จะถูกกว่านี้) ส่วนชุดของเจ้าสาวจะราคาค่อนข้างแพง เพราะโดยส่วนใหญ่จะเป็นชุดแบบยาว กระโปรงยาวมาก สีขาวบริสุทธิ์ ลายลูกไม้ หรือประดับแบบวิบวับ ราคาเช่าจะประมาณ 40,000 ขึ้นไป ถ้าตัดใหม่นี่ยิ่งแพงเลยจ้าเป็นแสนแน่นอน

จริง ๆ หลัก ๆ ก็ครบเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็จะเป็นรายละเอียดที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น วงดนตรี หากไม่จ้างก็ใช้เปิดจากแผ่นเอา แต่ถ้าจ้างส่วนใหญ่ราคาใน กทม. ที่พี่ทุยเห็นจะอยู่ที่ประมาณคนละ 3,000 บาท เช่น เครื่องดนตรี 3 ชิ้น คีย์บอร์ด กีตาร์ ร้องนำ ก็จัดไปคนละ 3,000 บาท รวมแล้ว 9,000 บาท หากครบ ๆ เลย ก็จะประมาณ 18,000 บาท รวมพวกกลองและเบสเข้าไป แต่ทีนี้ถ้าห้องใหญ่แขกเยอะ แล้วเลือกแบบจัดเต็มก็อาจจะต้องเช่าเครื่องเสียงเพิ่มก็เป็นได้ ค่าเช่าก็ประมาณ 10,000 บาท ดังนั้นอันนี้ก็ลองเลือกดี ๆ แล้วกัน ซึ่งราคานี้นักดนตรีจะเล่นประมาณ 3- 4 ชม. เท่านั้น ตั้งแต่แขกเริ่มมาจนจบพิธีการ ไม่รวม After party นะ ถ้าจะต่อยาว ๆ ก็แล้วแต่จะคุยเจรจากัน

โดยรวมพี่ทุยขอสรุปค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งตอนเย็นกับแขก 500 ท่าน ที่โรงแรมในกทม.

คู่มือ "ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน" (ตอนเย็น) ฉบับสมบูรณ์

1. ค่าอาหาร+สถานที่เลือกใช้โรงแรม 4 ดาวครึ่ง 1,500 บาท ต่อคน รวม 750,000 บาท ไม่รวมเครื่องแอลกอฮอล์
2. ค่าการ์ด+ซอง 15 บาทต่อซอง รวม 7,500 บาท
3. ค่าของชำรวยชิ้นละ 20 บาท 10,000 บาท
4. ค่าตกแต่งงาน 75,000 บาท
5. ค่าวงดนตรี 9,000 บาท มีหรือไม่มีก็ได้
6. ค่าคนรันคิว 10,000 บาท มีหรือไม่มีก็ได้
7. ค่าช่างภาพ 25,000 บาท (เลือกระดับกลาง)
8. ค่าแต่งหน้าบ่าวสาว 25,000 บาท (เลือกใช้ช่างมีชื่อ)
9. ค่าชุดเจ้าบ่าว 5,000 บาท
10. ค่าชุดเจ้าสาว 45,000 บาท
11. ค่าทำวีดีโอ 20,000 บาท (เลือกระดับกลาง)

รวมแล้วอยู่ที่ ประมาณ 981,500 บาท หากรวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ประมาณ 50,000-100,000 บาท โดยประมาณ ราคาก็ล้านกว่าบาทเลยนะ

และพี่ทุยอยากบอกว่าการวางแผนงบประมาณในแต่ละส่วนมันจะทำให้เราเห็นภาพรวมของงานได้ง่ายขึ้น การจัดงานแต่งเราต้องบาลานซ์ทุกอย่างให้ดี ไม่ใช่หนักไปที่จุดเดียว อย่างสมมติเราจ้างช่างกล้องระดับเทพมาเลย ค่าตัวเป็นแสน แต่เราเลือกช่างแต่งหน้าไม่ดี ถ่ายยังไงมันก็ไม่สวย หรือจ้างช่างแต่งหน้าเทพ ๆ ช่างกล้องเทพ ๆ แต่ฉาก Backdrop ไม่สวยสีไม่เข้า เราได้รูปมาเราก็เซ็งเปล่า ๆ หรือที่แย่ที่สุดที่เคยเจอมาคือทุกอย่างดีหมดเลย แต่อาหารไม่อร่อยแขกก็ด่า อันนี้ก็ไม่โอเคเช่นกัน

โดยสรุปแล้ว งานแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย มันมีรายละเอียดเยอะมีเรื่องให้ทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะสถานที่อาหาร ตกแต่ง ช่างกล้อง ช่างแต่งหน้า และแต่ละรายละเอียดก็มีให้เลือกเยอะมาก พี่ทุยจึงลองยกตัวอย่างงานสเกลแขก 500 คน จัดในโรงแรม 4 ดาวครึ่ง ให้ดูเพื่อที่เราจะได้เห็นภาพว่ามันใช้จ่ายเยอะขนาดไหน หากถามพี่ทุยว่าถูกกว่านี้ได้มั้ย ย่อมได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดงานในระดับไหน แขกจำนวนเท่าไหร่ พี่ทุยหวังแค่ว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้ว อยากให้ทุกคนหันมาวางแผนก่อนจัดงานเพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายหรือจ่ายให้คุ้มค่าที่สุด หวังว่าทุกคนน่าจะได้แนวทางในการวางแผนกันมากขึ้นนะ

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply