ช่วงนี้กระแสหนัง “Avenger Endgame” มาแรงมากกกกกก (ก.ไก่ 80 ล้านตัว) ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับที่รอคอยภาคนี้อยู่หรือไม่ก็คงต้องรีบพุ่งตัวไปดูด่วนๆเลย เพราะช้าไปนิดเดียวอาจจะโดนเพื่อนสปอยให้เสียอารมณ์เอาได้ ส่วนพี่ทุยเองนะเหรอ ไม่ต้องสืบ พุ่งตัวไปดูตั้งแต่วันแรกเเล้วจ้าาา
เวลาที่หนังดังๆเข้าและโรงหนังดูจะได้กำไรจนอิ่มแปร้อย่างนี้ พี่ทุยเชื่อว่าหลายคนคงแอบสนใจลงทุนในหุ้น “Major” ของบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด แล้วก็เกิดคำถามที่ว่า ในยุคที่บริการสตรีมมิ่งต่างๆ เช่น Netflix, iflix หรือ Disney+ มีอยู่เยอะแยะอย่างนี้ โรงหนังจะอยู่ได้เหรอ เพราะหลายคนอาจเลือกที่จะดูหนังผ่านสตรีมมิ่งที่บ้าน ประหยัดทั้งเวลาในการเดินทางและเงินในกระเป๋าตังค์มากกว่า ใครจะไม่ชอบล่ะ จริงมั้ย ?
ในยุคที่ธุรกิจบริการสตรีมมิ่งบูมอย่างนี้ โรงหนังจะเป็นยังไงบ้างนะ ?
พี่ทุยขอไม่เอางบการเงินของ Netflix มาเปรียบเทียบแล้วกันนะ เพราะเป็นงบการเงินของตลาด NASDAQ ที่อเมริกา ซึ่งอาจจะมีปัจจัยอะไรที่แตกต่างและไม่สะท้อนถึงเรื่องของสตรีมมิ่งและโรงหนังของไทยเรา ขอพูดคร่าวๆ คือ ในขณะที่ธุรกิจบริการสตรีมมิ่งมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นทุกปี ธุรกิจโรงหนังเมเจอร์มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นพอสมควรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จากงบการเงินย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นได้ว่า เมเจอร์ทำกำไรได้มากในช่วงไตรมาสที่ 2 ของทุกปีเลย
ในประเด็นที่ว่าบริการสตรีมมิ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของโรงหนังหรือเปล่า พี่ทุยคิดว่าขึ้นอยู่กับว่าเมเจอร์สามารถสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมที่มาดูหนังได้มากกว่าดูเองอยู่ที่บ้านมากขนาดไหน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น กาแฟยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งควรมีการกำหนดราคามาตรฐานให้เท่ากันในทุกที่ แต่ในสถานที่ท่องเที่ยวดังๆกลับมีราคาที่สูงกว่าร้านแถวบ้านเรา เช่น แถวย่านหอไอเฟล เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นกาแฟที่รสชาติเหมือนกันเป๊ะๆ แต่การได้จิบกาแฟไป มองหอไอเฟลไป ผู้บริโภคย่อมเกิด “ประสบการณ์ที่แตกต่าง” ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยังประเมินค่าออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ พี่ทุยสังเกตว่าธุรกิจยุคใหม่หลายอย่างได้พยายามจับจุดตรงนี้ เพื่อต่อสู้กับการรุกรานของเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต(Technology and Internet Disruption)
แน่นอนว่าโรงหนังที่กินส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 70% ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างเมเจอร์ก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นโรงหนังในรูปแบบใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ เช่น โรงหนัง kids cinema ที่เน้นฉายหนังที่มีเนื้อหาเหมาะกับเด็ก มีการใช้ระบบไฟให้สว่างขึ้น 30% เพื่อให้พ่อแม่ดูแลลูกได้ตลอดเวลา และตกแต่งโรงหนังให้เหมือนสนามเด็กเล่น นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมก่อนและหลังจากที่หนังฉายให้เด็กๆอีกด้วย ซึ่งกว่าจะได้สัมผัสประสบการณ์อย่างนี้ เราคงต้องใช้ยุ่งยากเองไม่น้อย หากต้องการจะทำเองที่บ้าน พี่ทุยเลยให้เมเจอร์สอบผ่านในเรื่องนี้และตอนนี้ แต่อนาคตว่ากันอีกทีนะ (อิอิ)
ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในเมเจอร์ พี่ทุยอยากเล่าให้ฟังอีกนิด ว่าหุ้นตัวนี้ไม่ได้ทำธุรกิจโรงหนังอย่างเดียวเท่านั้นนะ โดยปัจจุบันนี้เมเจอร์มีอยู่ 159 สาขา 782 โรงหนัง รวมทั้งในและต่างประเทศ รายได้ 100% ของเค้ามาจาก..
จะเห็นได้ว่า รายได้หลักมากกว่า 50% ของเมเจอร์คือรายได้จากการขายตั๋วหนัง แต่ตัวเลขกำไรที่ได้ออกมาจริงๆกลับสู้ธุรกิจที่ดูเป็นมวยรองอย่าง การขายป๊อปคอร์น เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวต่างๆที่สร้างกำไรได้ถึง 69% ไม่ได้ และส่วนที่สร้างกำไรให้เมเจอร์มากที่สุด คือการขายโฆษณาให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงตัวอย่างหนัง ซึ่งสร้างกำไรได้สูงถึง 84% ทีเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมราคาป๊อปคอร์นหน้าโรงหนังถึงได้ขึ้นราคาเรื่อยๆ ถ้าใครได้ไปดูหนังที่โรงหนังบ่อยๆจะรู้ว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อน ป๊อปคอร์นไซส์เล็กสุด ยังราคา 100 บาทอยู่เลย แต่เผลอแป๊บเดียว ราคาก็ขึ้นมาอยู่ที่ 130 บาทสำหรับไซส์เล็ก และ 150 บาทสำหรับไซส์ใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นโรงหนังเมเจอร์สาขาใหญ่ ราคาอาจพุ่งสูงถึง 150 บาทสำหรับไซส์เล็กและ 170 บาทสำหรับไซส์ใหญ่เลยทีเดียว เท่ากับเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี! มีกองทุนไหนเน้นลงทุนในป๊อปคอร์นมั้ยจ๊ะ พี่ทุยจะไปซื้อไว้สักหน่อยยย !!
สำหรับธุรกิจสื่อแล้ว คงหนีไม่พ้นประโยคที่เค้าว่ากันว่า “Content is King” หมายความว่า เนื้อหา ซึ่งในที่นี้คือ หนัง จะเป็นตัวกำหนดรายได้และกำไรของบริษัท ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้าเนื้อหาของหนังน่าสนใจ ฮิตติดกระแส เราย่อมอยากเข้าไปดูในโรงหนัง แล้วก็มีแนวโน้มจะซื้อป๊อปคอร์น เครื่องดื่มหน้าโรงมากขึ้นด้วย อีกทั้งเวลาที่หนังดังเข้า หนังเรื่องอื่นหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆย่อมอยากซื้อโฆษณา
แน่นอนว่าธุรกิจกลุ่มสื่อบางบริษัทคิดค่าโฆษณาไม่เท่ากันด้วยนะ เช่น โฆษณาในช่วงละครหลังข่าวจะแพงกว่าในช่วงอื่นๆ ของวัน หรือโฆษณาคั่นละครฮิตจะแพงขึ้น อะไรประมาณนี้ เพราะฉะนั้นหนังที่เมเจอร์ดึงเข้ามาฉายจะมีผลอย่างมากต่อรายได้ของเค้า แล้วยังส่งผลกระทบต่อเรื่องโฆษณาและการขายขนมหน้าโรงหนัง ซึ่งสร้างกำไรให้ธุรกิจอย่างมหาศาลด้วย
สำหรับคนที่สนใจลงทุนระยะยาว นอกจากพิจารณาถึงเรื่องพื้นฐานกิจการแล้ว อย่าลืมคิดเรื่อง “Time to Invest” หรือเวลาที่จะเข้าลงทุนด้วย หุ้นดีแค่ไหน ถ้าเลือกเวลาเข้าซื้อไม่ถูก ได้ราคาที่แพงไป ก็ไม่ดีทั้งนั้นนะจ๊ะ เคาะไม่ดูเวร่ำเวลา ถ้าโดนตลาดตีมือมาอย่างอแงนะ (ฮ่า)
Comment