ฉบับย่อ
- MK เปิด New Concept Store สาขาแรกที่ Central world โดยมีหม้อเดี่ยวและเซตอาหารสำหรับกินคนเดียวไว้ให้บริการ ช่วยแก้ปัญหาคนอยากกินสุกี้คนเดียว แต่ถ้าสั่งอาหารปรกติอาจทานเหลือหรือได้อาหารไม่หลากหลาย
- สาเหตุนึงที่ MK หันมาสนใจทำสุกี้แบบหม้อเดี่ยว อาจเป็นเพราะว่าปัจจุบันมีจำนวนคนโสดเพิ่มขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ในปี 2560 มีคู่รักไปจดทะเบียนสมรสน้อยลง 1% เมื่อเทียบกับปี 2550 และมีผู้ไปจดทะเบียนหย่าเพิ่มขึ้นถึง 19.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
- คนโสดที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นนี้มีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนมีคู่หลายอย่าง เช่น จะใช้จ่ายกับการกินมากกว่าคนมีคู่ 12% และรายจ่ายถึงครึ่งนึงเกิดจากการไปกินอาหารนอกบ้าน พฤติกรรมเหล่านี้จึงทำให้กลุ่มคนโสดเป็นลูกค้าชั้นดีของบรรดาร้านอาหาร
เรื่องของ “ความโสด” เป็นอะไรที่ขัดแย้งกันในตัวเองมาก เพราะว่าทั้ง ๆ ที่ความโสดเป็นเรื่องของการต้องไร้คู่ โดดเดี่ยว หงอยเหงา แต่กลับเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่เป็นกัน พูดได้ว่าคนเป็นโสดจะไม่ต้องโดดเดี่ยวหรือเหงา ๆ เป็นคนส่วนน้อยแล้ว เพราะมีเพื่อนอยู่ครึ่งประเทศ! ดังนั้นใครที่ยังโสด ใครที่ยังนกไม่เลิก ไม่ต้องเสียใจ และเมื่อเรื่องที่เป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่อย่างนี้ ย่อมส่องแสงแวววาวเข้าตาบางธุรกิจเข้า ซึ่งธุรกิจที่พี่ทุยพูดถึงก็คือ “MK” นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ก็เป็นข่าวฮือฮากันไปแล้วเรื่องเค้าไปดีลกับแหลมเจริญซีฟู้ด และตอนนี้ก็ผุดโปรเจคใหม่มาให้ฮือฮากันอีก กับการทานสุกี้ MK แบบใหม่ที่ฉีกภาพลักษณ์เดิม ๆ ทิ้งไป อย่างการทานสุกี้คนเดียว
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจเเย้งว่า การกินข้าวคนเดียวนี่ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ทำไมถึงต้องเป็นที่พูดถึงกันด้วย แต่พี่ทุยอยากลองให้นึกภาพร้านอาหารประเภทประเภทปิ้งย่าง สุกี้ ชาบู ที่ต้องใช้เวลาในการทานนานเป็นชั่วโมง และร้านส่วนมากมักจะเสิร์ฟมาในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูป เช่น ถาดหรือคอนโด แล้วให้เราปิ้ง ต้ม ย่างได้เอง การที่ต้องใช้เวลานานกว่าเพื่อนของอาหารประเภทนี้แหละ จึงเป็นจุดเด่นที่ทำให้บรรดาร้านอาหารพากันสร้างภาพลักษณ์ว่านอกจากรสชาติอาหารแล้ว ร้านเหล่านี้ก็ยังให้เรื่องของ “ความสัมพันธ์” ด้วย จนกลายเป็นค่านิยมของสังคมกลาย ๆ ว่า ร้านอาหารประเภทนี้เวลามากิน ต้องมากินกับเพื่อน คู่รักหรือครอบครัวนะ ถ้ามากินคนเดียวจะดูแปลก หรือบางร้านก็ขอคิดค่าบริการเพิ่มเมื่อลูกค้ามากินคนเดียวอีกด้วย
MK ก็เล็งเห็นถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน เค้าจึงเปิด “New Concept Store” ที่ Central world เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นสาขาแรก ที่มีหม้อสุกี้และเซตอาหารสำหรับคนที่มากินคนเดียว แบ่งเป็นเซตสุกี้รวมมิตรในราคา 199 บาทและเซตสุกี้พรีเมี่ยมราคา 229 บาท ทั้ง 2 เซตนี้มีผักพร้อมให้ทานพออิ่มสำหรับ 1 คน นอกจากนี้โต๊ะที่นั่งก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จแบตและมีไวไฟฟรีให้ด้วยนะ ประมาณว่ากลัวลูกค้าที่มาคนเดียวเหงา เล่น Facebook หรือแชทกับเพื่อนไป นั่งกินได้ยาว ๆ ไม่มีไล่ นับว่าเป็นไอเดียที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าดีทีเดียวเลย
“เทรนด์คนโสด” คืออะไร แล้วทำไม MK ต้องสนใจ
เมื่อพูดถึง MK แทบทุกคนคงนึกถึงร้านอาหารที่เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัว (เรื่องนี้ทางร้านระบุไว้เองในรายงานประจำปีด้วย) ยังไม่รวมถึงสโลแกน “ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น” หรือโฆษณาที่มักนำเสนอภาพของการไปทานสุกี้กันทั้งครอบครัว จึงไม่แปลกที่ในวันสำคัญเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวต่าง ๆ เช่น วันแม่ วันพ่อ พี่ทุยมักจะเห็นร้าน MK เต็มทุกโต๊ะและมีคนรอคิวกันอยู่เต็มหน้าร้าน
แม้ภาพลักษณ์ของเค้าจะชัดมาก ทำให้จับฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อยู่หมัด แต่ความมั่นคงนี้ ก็มักจะมาพร้อมกับความไม่หวือหวา ที่ทำให้การเติบโตและรายได้ของร้านค่อนข้างช้า ราบเรียบ ง่าย ๆ สไตล์มินิมอล ซึ่งทางผู้บริหารคงไม่อินเท่าไรนัก มาดูรายได้และกำไรย้อนหลังของเค้ากันสักนิดดีกว่า
MK มีตัวเลขการเติบโตของกำไรสูงและเร็วกว่าการขยายสาขาค่อนข้างมาก แต่เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเค้าจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 5.65% กำไรก็เพิ่มขึ้นเพียงเเค่ 4.89% เท่านั้น ผิดกับทุกปี เพราะฉะนั้นเค้าก็เลยมีการเรียกกำลังเสริมมาช่วย อย่างการเข้าซื้อแหลมเจริญซีฟู้ดและการเกาะไปกับเทรนด์คนโสดที่พี่ทุยกำลังจะเล่าต่อไปนี้
จากสถิติของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) บอกว่า ไทยกำลังจะกลายเป็นสังคมแห่งคนโสด เพราะในช่วงระหว่างปี 2550-2560 มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ล้านคน แต่ตัวเลขคู่รักที่มาจดทะเบียนสมรสและหย่ากลับไม่สวยเลย ไม่ใช่แค่การแต่งงานที่ลดลงเท่านั้นนะ แต่การหย่าร้างก็เพิ่มขึ้นด้วย จากข้อมูลผู้จดทะเบียนสมรสและจดทะเบียนหย่า
ทั้งการหย่าร้างและการไม่จดทะเบียนสมรส ล้วนเเล้วแต่ทำให้เกิดประชากรคนโสดเพิ่มขึ้น และคนโสดที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างนี้ก็ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินชะตากรรมของธุรกิจต่าง ๆ ว่าจะปังหรือจะพัง รู้มั้ยว่า? ถึงจะเป็นคนไทยเหมือนกัน พฤติกรรมของคนมีคู่กับคนโสดก็แตกต่างกันมากมายเลยนะ
ถ้ามองตามเนื้อผ้า เราอาจจะคิดว่าคนมีครอบครัวน่าจะมีรายจ่ายมากกว่า เพราะมีค่าใช้จ่ายเรื่องลูก เช่น ค่าเทอม ค่าดูแลอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายในครอบครัว อย่างออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ท่องเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน ดูหนัง เป็นต้น แต่ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2561 ที่สำรวจในคนที่อายุมากกว่า 20 กลับออกมาตรงกันข้ามเลย เพราะจริง ๆ แล้ว คนโสดต่างหากที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ถ้าตีรายได้ทั้งหมดเป็น 100% คนโสดและคนมีคู่จะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างนี้
ถึงแม้ว่าคนโสดจะไม่ได้มีสัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสูงกว่าคนมีคู่สักเท่าไหร่ แต่พี่ทุยขอเอาเเว่นขยายมาซูมตรง “ใช้จ่ายเพื่อการบริโภค” ให้ดูหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคที่ว่าครอบคลุมหลายเรื่องเลย ทั้งกิน เที่ยว ช้อปปิ้ง ถ้าพร้อมแล้ว มาเคาท์ดาวน์ไล่จากอันดับที่ 4 ไปอันดับที่ 1 ด้วยกันเลย
อันดับที่ 4 คนไร้คู่มีแนวโน้มใช้เงินเปย์ตัวเองไปกับกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ดูหนัง ไปคอนเสิร์ต ดูละครเวที ซื้อตั๋วดูบอลนัดชิง มากกว่าคนมีคู่ รวมถึงกิจกรรมแบบโสด ๆ อย่างอื่นด้วย เช่น การเลี้ยงสัตว์ คนโสดใช้เงินหมดไปกับความบันเทิงต่าง ๆ พวกนี้ มากกว่าคนมีคู่ 5%
อันดับที่ 3 เพราะอยู่ตัวคนเดียวไม่มีพันธะ คนโสดก็เลยไปเที่ยวได้บ่อยกว่าคนมีคู่ และใช้จ่ายในส่วนนี้มากกว่าคนมีคู่ 40% เลย
อันดับที่ 2 คนโสดใช้จ่ายไปกับค่าเดินทางมากกว่าคนมีคู่ 4% ค่าเดินทางที่ว่าคือทั้งค่าขนส่งประเภทต่าง ๆ และค่าน้ำมันของรถส่วนตัว ในเมื่อไม่มีคู่หารค่าน้ำมันด้วย คนโสดก็ต้องรับภาระส่วนนี้ไปคนเดียวเต็ม ๆ เลย
อันดับที่ 1 คนโสดใช้จ่ายด้านอาหารมากกว่าคนมีครอบครัวถึง 12% และที่น่าสนใจก็คือ มากกว่า 50% ของรายจ่ายส่วนนี้เกิดจากการกินอาหารนอกบ้าน
บ้านคือผู้คน ไม่ใช่สถานที่ เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่มีใครรออยู่บ้าน การกลับไปกินข้าวคนเดียวคงไม่ดึงดูดใจนัก หรือถึงจะเป็นคนชอบอยู่คนเดียวและเลือกที่จะโสดเอง การต้องทำอาหารเพื่อกินคนเดียวก็เป็นเรื่องยุ่งยากและไม่คุ้มเหนื่อย เพราะนอกจากขั้นตอนการทำแล้ว ก็ยังต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ สถานที่ รวมถึงต้องเก็บล้างเมื่อกินเสร็จ การออกไปกินข้าวนอกบ้าน เลยเป็นทางเลือกที่ประหยัดทั้งแรงกายและแรงใจสุด ๆ
ตัวเลขคนโสดที่ชอบกินข้าวนอกบ้านน่าสนใจขนาดนี้ พี่ทุยไม่แปลกใจเลยว่าทำไม MK ถึงจับมาเล่น ถึงแม้เค้าจะเป็นร้านอาหารประเภทสุกี้ชาบูอันดับ 1 ของประเทศ แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจจึงมีการพัฒนาอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่น การใช้ระบบ Self-Ordering System โดยการมี Tablet สำหรับสั่งอาหารอยู่ตามโต๊ะ ลูกค้าจึงสามารถสั่งเองโดยตรงผ่าน Tablet ได้เลย พอพนักงานไม่ต้องเสียเวลามารับออเดอร์ก็จะมีเวลาในการไปดูแลงานส่วนอื่นมากขึ้น
พี่ทุยยังไม่ได้มีโอกาสไป MK สาขา Central world ที่ว่า แต่เห็นจากในรูปและรู้สึกว่าสะดุดกับการที่เค้าตั้งโต๊ะสำหรับหม้อเดี่ยวติดกับกระจกใสทางหน้าร้าน ฉะนั้นไม่ว่าใครเดินผ่านไปผ่านมาก็เห็นได้หมด หลายคนอาจมองว่า “ไม่ดีเลย อย่างนี้คนก็รู้หมดสิว่าเราโสด” แต่ถ้ามองในอีกมุมก็เหมือนกับการประกาศกลาย ๆ ว่า “นี่ ๆ โสดนะ เปิดป้ายว่าง ขึ้นรถมั้ย?” อะไรอย่างนั้นเลยมองในแง่นี้ก็ดีเหมือนกันนะ
Comment