เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ iPhone 11 ในงาน Apple Special Event วันที่ 10 กันยายน 2019 นอกจาก iPhone 11 แล้วยังมี Gadgets ต่างๆ รามถึงการเปิดตัว Apple Arcade และ Apple TV+ อีกด้วย ที่จะบุกตลาด Gaming และ Streaming ที่กำลังร้อนแรงอยู่ พร้อมประกาศราคาและวันที่จำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย
ในส่วนของ iPhone 11 นั้น ได้มีการเปิดตัว 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
- iPhone 11 $699
- iPhone 11 Pro $999
- iPhone 11 Pro Max $1099
พร้อมด้วยสีใหม่ที่ออกมาอย่าง Midnight Green โดย iPhone 11 จะเริ่มเปิดให้ Pre-Order ในประเทศกลุ่มแรกช่วงวันศุกร์ ที่ 13 กันยายน 2019 และเริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 20 กันยายน 2019 ส่วนในไทยยังไม่มีกำหนดการชัดเจนอาจจะต้องรอถึงช่วงเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายนเลยทีเดียว
iPhone 11 ชูโรงด้วยกล้องและ Features ใหม่
ตัว iPhone 11 นั้นเป็นการอัพเกรดขึ้นมาจากตัว iPhone XR มีกล้อง 2 ตัวด้วยกัน โดยเป็นกล้อง Wide (1X) และ Ultra Wide (0.5X) ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะประกอบไปด้วยก้อง 3 ตัว Wide (1X), Ultra wide (0.5X) และ Telephoto (2X) เพิ่มความหลากหลายของมุมการถ่ายมากขึ้น
และอีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือกล้องหน้าที่รองรับการถ่ายแบบ 4K ได้ และมาพร้อมกับความสามารถทีเพิ่มขึ้นอย่าง Slowfie ที่สามารถใช้กล้องหน้าในการถ่าย Slow Motion และด้วยคุณภาพของกล้องหน้าที่มากขึ้นยังช่วยให้การปลดล็อค Face ID แม่นยำและรวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย
ตัวกล้องเองก็ต่างเพิ่มฟังก์ชั่น และฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาอย่าง Deep Fusion ที่กล้องจะทำการถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพ ก่อนและหลังถ่ายภาพอย่างละ 4 ภาพไว้ เพื่อนำภาพทั้งหมดประมวลผลร่วมกับระบบ AI เพื่อคำนวณและสร้างภาพที่มีความละเอียดที่สุดขึ้นมา ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดแม้ผ่านการขยายภาพ และสุดท้าย Night Mode ที่ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นจุดอ่อนตามค่ายอื่นๆอยู่ ตอนนี้ก็สามารถถ่ายภาพที่มีแสงน้อยได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
ความตื่นตาตื่นใจที่หายไปของ Apple
เป็นสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารย์เป็นอย่างมากสำหรับ Apple กับความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจของ Apple ที่หายไป เพราะในอดีตนั้นทุก ๆ ปีที่มีการเปิดตัว Apple จะมีลูกเล่นและสิ่งใหม่ๆที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและทำให้คนทั่วโลกตื่นตกใจ และเป็นเหตุผลที่ต่อให้ราคา iPhone จะแพงฉีกแบรนด์คู่แข่งก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
แต่ในปัจจุบันหลายๆแบรนด์เริ่มมีการงัดไม้เด็ดของตัวเองออกมาชิงตลาด และแข่งขันกันสูงมากทั้งด้านเทคโนโลยีและราคา และด้วย iPhone รุ่นใหม่ในแต่ละปีนั้นไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษจนทำให้คนรู้สึกว้าวตื่นเต้นกับความเปลี่ยนแปลง แต่ภาพรวมกลับคล้ายเป็นการอัพเดทและวิ่งตามเทคโนโลยีคู่แข่ง ทำให้ลูกค้าในหลายๆประเทศเริ่มย้ายค่ายเปลี่ยนใจไปใช้แบรนด์อื่น
ส่วน iPhone 11 นี้ จุดเด่นที่แซงทุกค่ายเลยคงจะหนีไม่พ้นเรื่องชิปประมวลผล Apple A13 Bionic ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ Apple ที่เดียว ด้วยขนาดชิปที่เล็กแต่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วกว่าค่ายอื่นและยังประหยัดพลังงาน จน Apple เคลมว่าเป็น Smartphone ที่เร็วและแรงที่สุดในปัจจุบัน ใครที่เป็นสายเกมส์น่าจะแฮปปี้กันกับตรงนี้
แต่ความตลกร้ายคือลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ Smartphone นั้นเฟ้นหา Features และประสบการณ์การใช้งานเป็นหลัก ทำให้หลาย ๆ ครั้งแม้เทคโนโลยีชิปนี้ของ Apple จะเป็นที่ 1 แต่ก็ถูกลูกค้าหลาย ๆ คนมองข้าม
Apple Arcade กับ 3 ค่ายเกมชั้นนำ
คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกมมือถือ Mobile Gaming นั้น ในปัจจุบันตลาดเกมนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก และตลาดเกมมือถือก็มีส่วนแบ่งสูงกว่า 50% ของตลาดเกมทั้งหมด โดยในปี 2018 ที่ผ่านมารายได้จากเกมมือถือทั่วโลกนั้นมีตัวเลขสูงถึง 63.2 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,932.78 ล้านบาท (1USD : 30.58 THB)
สำหรับ Apple Arcade นั้นจะเป็นการรวมกันของเกมชั้นนำต่าง ๆ จากผู้สร้างชื่อดังที่จับมือกับ Apple ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเกมในตำนานอย่าง Capcom บริษัท Konami และบริษัท Annapurna ที่มีทีมงานผลิตเกมโดยเฉพาะ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียตังซื้อแต่ละเกมเหมือนในอดีต แต่จะเป็นการจ่ายเงินเหมาเป็นรายเดือนแทน
โดยจะเริ่มเปิดให้บริการให้กับประเทศกลุ่มแรกในช่วงวันที่ 19 กันยายน 2019 ในราคา 4.99 เหรียญต่อเดือน หรือประมาณ 152.6 บาท/เดือน (1USD : 30.58 THB) โดยจะมีให้ทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน
Apple TV+ ตีตลาด Streaming หนัง
จาก Lifestyle และ Technology ที่เปลี่ยนไปทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาด Streaming หนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และหลายๆคนคงจะหนีไม่พ้น Netflix ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จทั่วโลกแล้ว คนไทยเราก็ติดกันงอมแงมเช่นกัน
เบื้องหลังความสำเร็จของ Netflix เองนั้นคงจะหนีไม่พ้น Original Content หรือการทำหนังซีรี่ย์เป็นของตัวเอง ทำให้ลูกค้าหรือผู้ชมนอกจากจะเลือกชมหนังที่ตัวเองอยากดูได้ ก็ยังเสพติดซีรี่ย์และหนังของตัว Netflix เองที่มีเนื้อหาเข้มข้นและน่าติดตาม ทำให้อัตราการเปลี่ยนใจหรือย้ายค่ายของลูกค้านั้นน้อยมาก
ทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney เองก็ลงมาในตลาดเองเลยด้วยชื่อ Disney+ ที่นอกจากจะมีหนัง นิยาย และอนิเมชั่นของ Disney เองที่เป็นจุดขายอยู่แล้ว ยังได้ Marvel มาร่วมมืออีก ทำให้มี Series และหนังภาคต่อของ Marvel ที่ทุกคนรอคอยอยู่
ทาง Apple เองก็มาตีตลาดเริ่มทำ Original Content เป็นของตัวเองเช่นกัน ผ่านชื่อ Apple TV+ โดยจะเริ่มใช้งานจริง 1 พฤศจิกายน 2019 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 4.99 เหรียญสหรัฐ/เดือน และราคาไทยที่ 99 บาทต่อเดือน (Netflix 8.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน 280 บาทต่อเดือน)
และเพื่อเป็นการโปรโมทตัว Apple TV+ ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple อย่าง iPhone, iPad, Apple TV, iPod Touch รวมถึง Mac จะได้รับบริการ Apple TV+ ฟรี 1 ปี และรองรับ Family Sharing ได้สูงสุด 6 คน
ด้วยกลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าบวกกับโปรโมทตัว Apple TV+ ผ่านแฟนและลูกค้าของ Apple ต้องมาดูกันว่า Apple TV+ จะสามารถแย่งส่วนแบ่งในตลาดได้มากน้อยขนาดไหน เพราะปีหน้าธุรกิจ Streaming หนัง และ Original Content จะดุเดือดเลยทีเดียว เพราะต่างค่ายก็ต่างงัดไม้เด็ดของตัวเองออกมา
Comment