เมื่อไหร่จะมี “เงินเดือน” เยอะ ๆ บ้างน้าาาาา ผ่านปีใหม่มาร่วมสองเดือนแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างก็ดูเหมือนจะใหม่ไปหมด ทั้งราคาข้าวของบางชนิดที่ปรับราคาใหม่ ราคาน้ำมัน ราคาทองคำที่สวิงขึ้นลง จนเกิดราคาใหม่ ๆ ในทุกวัน มาตรการจากรัฐบาลที่ออกมาช่วยเยียวยาช่วงโควิด-19 ก็ออกมาอย่างมากมาย ทั้งคนละครึ่ง เราชนะ หรือล่าสุดอย่าง ม.33 เรารักกัน
จะมีเก่าก็อย่างเดียว คือ “เงินเดือน” เราเนี่ยแหละ ที่ขยับช้าในอัตราเต่าคลาน ไม่แคร์อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปีที่ 1.18% เลย (ปี 2554-2563)
ช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นฤดูประกาศงบไตรมาส 4 ปี 2563 พี่ทุยดูงบกำไรของหลายบริษัท แล้วไปส่องกราฟราคาก็ถึงกับงง เพราะงบการเงินของหลายบริษัทก็สวยหรู ดูมีชาติตระกูล แต่ทำไมไม่รู้ราคาหุ้นกลับไม่หวือหวาเอาเสียเลย อย่างนี้เรียกกันว่า “หุ้น Laggard” หรืออธิบายง่าย ๆ คือ การที่ราคาหุ้นตัวนั้น ๆ ปรับตัวช้ากว่าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่พื้นฐานก็ดี ไม่ได้ต่างจากตัวอื่น ๆ
จริง ๆ พี่ทุยคิดว่าเรื่อง Laggard ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย แค่พี่ทุยลองคิดดูว่าตอนที่เราทำงานอย่างหนัก ผลงานอย่างเลิศ แต่สุดท้ายมักถูกมองข้ามไปซะทุกที จน “เงินเดือน” เกิดการ Laggard คุณค่าที่เราสร้างให้กับองค์กรเหมือนที่ราคาหุ้น Laggard จากราคาของมัน
ถ้าเราลองเอาหลักการเรื่องการลงทุนมาลองปรับใช้ดู หลักการเดียวกับที่ทำยังไงให้ราคาหุ้นที่ Laggard ราคากลับมาอยู่ที่เหมาะสม ก็ไม่ต่างกับการที่ทำให้ตัวเรากลายเป็นที่ต้องการขององค์กร ส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินเดือน คิดไปคิดมาก็ดูเข้าท่าเหมือนกันนะ
1. ทำให้องค์กรเห็นคุณค่าในผลงานของเรา
ข้อนี้สำคัญมากทีเดียว เหมือนหุ้นที่ไม่ว่าจะมีพื้นฐานดีแค่ไหน แต่หากไม่มีการเข้าซื้อของ “เงินใหญ่” อย่างเช่น กองทุน สถาบันหรือต่างชาติ ราคาก็ไม่อาจดีดตัวขึ้นสูงได้ไกล เพราะขาดตัวเร่งชั้นดี ซึ่งในที่ทำงานของเราก็คือ ผู้ที่มีตำแหน่งงานสูงกว่าในองค์กรหรือที่เรียกว่าหัวหน้านั่นแหละ
2. จงกล้าที่จะเปิดเผยข้อดี จุดเด่นหรือผลงานของเรา
พี่ทุยเข้าใจว่าการที่เติบโตและถูกหล่อหลอมมาในสังคมไทย ทำให้หลายคนติดนิสัย “ถ่อมตัว” จนบางทีก็มากเกินพอดี การเปิดเผยให้คนอื่นรู้ถึงความสามารถของเรา ไม่ใช่การโอ้อวดเสมอไป ของดี ต้องโฆษณาออกไปบ้าง จริงมั้ย ?
เหมือนเวลาที่เกิด “ข่าวดี” ขึ้นกับบริษัทจดทะเบียน เช่น กำไรไตรมาสนี้พุ่ง ได้สัญญาสัมปทาน มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ทำให้บริษัทดูมีความหวังว่าจะพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไร (เรียกว่า หุ้น Turnaround) เป็นต้น ราคาหุ้นมักจะดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรง เพราะความคาดหวังในตัวหุ้น อันเกิดจากการ “มองเห็น” มูลค่านั่นเอง ฉะนั้น ถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่ากลัวที่จะ “โชว์ของ” ออกไป จากประสบการณ์ของพี่ทุยแล้ว ยุคนี้คนที่ขายงานเก่ง พรีเซ้นต์ตัวเองเจ๋ง หน้าที่การงานมักจะไปได้ไกลกว่าเสมอ
3. เพิ่มความสามารถพิเศษ
การที่ราคาหุ้นจะขยับขึ้นสูง เกาะเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและเลี้ยงตัวอยู่บนเทรนไลน์ได้ ก็ต้องอาศัย “เชื้อเพลิง” เพื่อส่งให้เกิดโมเมนตัมในทางบวก เช่น กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่เติบโตทุกไตรมาส อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง ไม่ใช่แค่ออกข่าวดีมา แต่ผ่านไประยะนึง แต่แนวโน้มไม่ได้ดูดีขึ้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเพิ่มเงินเดือนก็ควรที่จะ “มีดี” จริงหรือตัวจริง เราต้องหมั่นพัฒนาความสามารถเท่าที่จะทำได้ ตัวอย่างเช่น เพิ่มความสามารถด้านภาษา เดี๋ยวนี้มีหลายบริษัทเลยที่เพิ่มเงินเดือนให้บุคลากรที่มีความสามารถตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “ค่าภาษา” นั่นเอง
โดยเกณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด ก็คือ การสอบโทอิค (TOEIC – Test Of English for International communication) พี่ทุยขอเอาตัวอย่างมาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ สัก 3 บริษัทแล้วกันนะ
- บริษัท แอดวานซ์ คอนแท็คซ์ เซ็นเตอร์ จำกัด มีค่าภาษาให้ 2,000-5,000 บาท
- บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด ที่ผลิตยางรถยนต์ มีค่าภาษาให้ 5,000 บาท
- King Power International group ถ้ามีคะแนนโทอิกตามเกณฑ์ก็รับค่าภาษาไปสูงสุด 4,000 บาท
มีผู้ทำสถิติว่าความสามารถทางภาษาอังกฤษจะช่วยเพิ่มเงินเดือนให้คนชาติต่าง ๆ ยังไงบ้าง จากรูป คนสิงคโปร์ได้เงินเดือนจากการที่มีความสามารถทางด้านภาษาเพิ่มสูงสุด
หรือการมีความสามารถด้านภาษาที่สามที่มีความจำเป็นต่อองค์กร เช่น สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ในองค์กรที่มีการติดต่อประสานงานกับคนญี่ปุ่นตลอดเวลา ก็ช่วยเพิ่มเงินเดือนได้ดีนะ
4. ทำให้องค์กรรู้สึกว่าขาดคุณไม่ได้
มีบทบาทในการองค์กรและเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ จนทำให้องค์กรรู้สึกว่าถ้าขาดคุณไป งานจะไม่ราบรื่นเหมือนเดิม เหมือนกับราคาหุ้นที่ปรับเปลี่ยนไปตามกฏของอุปสงค์-อุปทาน (Demand-Supply) เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิด “อุปสงค์” หรือความต้องการซื้อมากขึ้น ราคาย่อมขยับขึ้นสูง
จากรูป เมื่อมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นในขณะที่อุปทานเท่าเดิม ซึ่งในที่นี้คือ ‘ตัวเรา’ คงที่ ราคาย่อมจะสูงขึ้น
บทความนี้พี่ทุยขอแนะนำคร่าว ๆ 4 ข้อนะจ๊ะ ขอตัวไปวาดกราฟตัวเองก่อน เงินเดือนจะได้เลิก Laggard ความสามารถและตัวเลขในบัญชีจะได้วิ่งตามทันอัตราเงินเฟ้อสักที (ฮ่า)
Comment